ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะแม ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2390
[1] เป็นธิดาของนายสุดจินดา (พลอย ชูโต) บุตรจมื่นศรีสรรักษ์ (ถัด) มารดาของท่านชื่อนิ่ม เป็นธิดาของพระยาสุรเสนา (สวัสดิ์ ชูโต) (น้องจมื่นศรีสรรักษ์ (ถัด)) กับคุณหญิงเปี่ยม ซึ่งเป็นธิดาของ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) (เรียกกันโดยทั่วไปว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่) ดังนั้นท่านผู้หญิงเปลี่ยนจึงมีศักดิ์เป็นเหลนของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ด้วยในวัยเยาว์ท่านผู้หญิงเปลี่ยนได้รับการศึกษาอบรมตามแบบกุลธิดาสมัยก่อน ซึ่งเกี่ยวกับการดูแลกิจการบ้านเรือน และโดยเหตุที่ท่านเป็นสตรีที่ฉลาด มีอุปนิสัยรักความประณีต อีกทั้งมีความคิดริเริ่มที่ดี ท่านจึงได้พากเพียรศึกษา ฝึกฝน และปรับปรุงการประกอบอาหารหวานคาว ฝีมือการปรุงอาหารของท่าน เป็นที่เลื่องลือทั่วไปว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นที่ชื่นชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อีกทั้งท่านยังริเริ่มการประดิษฐ์อาหารและขนมให้ดูน่ารับประทาน เช่น การประดิษฐ์ "
ลูกชุบ" ขึ้นถวายเจ้านาย ซึ่งยังเป็นที่นิยมจนถึงขณะนี้ นอกจากนี้ท่านยังได้รวบรวมและเรียบรวมตำราอาหารหวานคาวทั้งของไทยและของต่างชาติขึ้นไว้ คือตำรา "แม่ครัวหัวป่าก์" ซึ่งนับว่าเป็นตำรากับข้าวเล่มแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศไทย
[2] โดยมี
เจ้าจอมพิศว์ ในรัชกาลที่ 5 ธิดาของท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ตำราอาหารเล่มนี้ยังใช้เป็นแบบอย่างอยู่จนทุกวันนี้ นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ท่านผู้หญิงยังมีฝีมือในการแกะสลักผักและผลไม้ รวมทั้งการประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ดอกไม้สด และดอกไม้ขี้ผึ้งอบหอม ส่วนฝีมือในการเย็บปักถักร้อยของท่านก็เป็นเยี่ยมเช่นกัน งานปักชิ้นหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงต่างประเทศ คือ งานปักรูปเสือ ซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และงานชิ้นสำคัญนี้ได้ร่วมประกวดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่างานปักของท่านผู้หญิงเปลี่ยนได้รับรางวัลชนะเลิศของโลก ได้รับเงินรางวัลเป็นมูลค่าหลายพันดอลลาร์สหรัฐ รางวัลนี้นำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ตัวท่านและวงศ์ตระกูล แต่ที่สำคัญคือเป็นเกียรติคุณอย่างยิ่งของประเทศชาติท่านผู้หญิงเปลี่ยนสมรสกับ
เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) บุตรคนสุดท้องของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ กับหม่อมอิน ตามหลักฐานที่ปรากฏทั้งสองมีบุตรธิดารวม 2 คน คือ นายราชาณัตยานุหาร (พาสน์) และ
เจ้าจอมพิศว์ ในรัชกาลที่ 5ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เป็นสตรีที่มีสำนึกในหน้าที่ กล่าวคือ นอกจากการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวของท่านจนเป็นที่ยกย่องชื่นชมแล้ว ท่านยังมีผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจมั่น และด้วยความเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมอันนับว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านอีกด้วย กล่าวคือในปี พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) เกิด
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เรื่องพรมแดนที่ฝั่ง
แม่น้ำโขง ผลของการกระทบกระทั่งกลายเป็นการสู้รบ เนื่องจากฝ่ายฝรั่งเศสส่งกองทัพเรือมาปิดอ่าว ในการสู้รบครั้งนั้นปรากฏว่ามีราษฎรและทหารทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนไม่น้อย ท่านผู้หญิงเปลี่ยนได้เล็งเห็นความทุกข์ยากของทหารและราษฎรเหล่านั้น จึงได้ดำริว่า น่าจะมีองค์กรสักองค์กรหนึ่งเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ ดังนั้นท่านจึงได้ชักชวนบรรดาสตรีชั้นสูงทั้งหลายให้มาร่วมมือกันโดยท่านได้นำความกราบทูลสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ขอให้ทรงรับเป็น "ชนนีผู้บำรุง" ขององค์การนี้
[3]เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบก็ทรงพอพระราชหฤทัยยิ่งนัก พระราชดำริว่า องค์กรนี้เป็นองค์กรการกุศล เหมือนอย่างประเทศตะวันตกที่เคยมีมาแล้ว จึงทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมีพระบรมราชานุญาตให้กลุ่มสตรีอาสาสมัครนี้ทำการเรี่ยไร ได้เงินทั้งสิ้น 444,728 บาท ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่าอันมหาศาลสำหรับสมัยนั้น เงินที่ได้ทั้งหมดนี้ใช้ไปในการซื้อยาเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ โดยส่วนหนึ่งใช้ในการเดินทางไปเยี่ยมเยียน และช่วยเหลือครอบครัวทหารและพลเรือนที่ออกปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ด้วยการปฏิบัติภารกิจของกลุ่มสตรีอาสาสมัครที่มีท่านผู้หญิงเปลี่ยนเป็นผู้นำเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู๋หัว จึงมีพระบรมราชานุญาตให้ตั้งสมาคมการกุศลในปี พ.ศ. 2436 โดยพระองค์ทรงพระกรุณาลงพระนามาภิไธยจัดตั้ง
สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีทรงเป็น "สภาชนนี" พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงดำรงตำแหน่ง "สภานายิกา" พระองค์แรก และท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ มีตำแหน่งเป็นเลขานุการิณี งานสำคัญของสภาอุณาโลมแดงแห่งสยามนี้คือ การจัดส่งยา อาหาร เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่าง ๆ ไปช่วยบำรุงทหารในสนามรบ ซึ่งสภาฯ ได้ดำเนินการเป็นผลดีจนกระทั่งการสู้รบได้ยุติลง นับว่าเป็นการทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการช่วยบำบัดทุกข์ให้แก่ทหารและพลเรือน เป็นการร่วมมือทั้งกำลังกาย กำลังใจและกำลังทรัพย์ในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตการณ์อย่างดียิ่ง สภาอุณาโลมแดงแห่งสยามนี้ ต่อมาคือ
สภากาชาดสยาม และเปลี่ยนชื่อเป็น
สภากาชาดไทย ได้เข้าเป็นสมาชิกสภากาชาดสากล เมื่อปี พ.ศ. 2463ท่านผู้หญิงเปลี่ยนถูกคนเมาบริเวณกรมอู่ทหารเรือใช้มีดดาบฟันจนเป็นแผลฉกรรจ์ อาการสาหัสจนถึงแก่อนิจกรรม
[1]เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ร.ศ. 130
[4](ตรงกับปี พ.ศ. 2454) สิริอายุได้ 64 ปี 3 วัน