ประวัติ ของ เพลย์กราวด์

เข้าประกวด Live A Day ; อัลบัมแรก

วงเพลย์กราวด์เป็นวงที่เข้าประกวดจากงาน Live A Day ของนิตยสารอะเดย์ โดยแสดงเพลง Kung Fu และได้ปล่อยเพลงออกมาเป็นอัลบัม E.P. เท่านั้น โดยหลังจากนั้นได้มีอัลบัม E.P. อีกหลายอัลบัม โดยอัลบัมอัลบัมแรกของ RIP Studio ที่ผลิตออกมานั้นคือ Toyz กับทางค่าย RIP Studio และต่อยอดไปสู่อัลบัมเต็มอัลบัมแรกที่มีชื่อว่า Welcome To Cubic World (พ.ศ. 2547) ที่ทำให้เริ่มเป็นที่จับตามอง มีเพลงดังอย่างเช่น Soulmate, ปล่อยวาง

เป็นที่รู้จัก

หลังจากปล่อยอัลบัมเต็มออกมาแล้วนั้นเพลย์กราวด์ยังปล่อยเพลงอย่าง มุมและกล่อง ช่วงก่อนสิ้นปี พ.ศ. 2547 ก่อนที่จะออก อัลบัมอีพีที่มีชื่ออัลบัมว่า Box ซึ่งในการใช้ชื่อนี้ก็เป็นการบอกถึงกล่องแห่งความรัก และเนื่องมาจากเพลงที่ดังอย่างมากคือเพลงกล่อง จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการตั้งชื่ออัลบัมว่า Box ซึ่งในมิวสิกวิดีโอเพลง กล่อง จะเน้นถึงความรักในกล่อง กล่าวคือเน้นกล่องเป็นตัวหลักในมิวสิกวิดีโอ หลังจากปล่อยอัลบัม Box พวกเขาได้ปล่อยเพลงใหม่อย่างเช่นเพลง คำสาป ออกมาซึ่งในอัลบัมนี้จะ นับเป็นอัลบัมที่ 2 ของวงเพลย์กราวด์ต่อจาก อัลบัม Cubic World ซึ่งเป็นอัลบัมแรก โดยใช้ชื่อว่า Mr. Postman ซึ่งในการตั้งชื่อนี้ เนื่องมาจากเพลย์กราวด์ต้องการสื่อถึงชื่ออัลบัมว่าเป็นเหมือนบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งพูดถึงชายคนหนึ่งอย่าง "นายสุภาพ" ซึ่งทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์ แจกจ่ายเรื่องราวชองความรักในรูปแบบต่างให้คนได้ฟังกัน เพลงแรกที่นำมาแจกจ่ายให้ได้ฟังกันคือ เพลง "Loser" โดยในอัลบัมที่ 2 นี้ได้นำเอาเพลงในอัลบัม E.P.Box มารวมด้วย อาทิเช่น เพลงกล่อง และมุม ซึ่งอัลบัมนี้ได้กลายเป็นอดีตอัลบัม สุดท้ายที่ทำงานกับค่าย RIP Studio ซึ่งเพลงที่โด่งดังอย่างมากในอัลบัมนี้ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งประเทศคือเพลง มุม และคำสาป ซึ่งในเพลง มุมกล่าวถึง ความรักในรูปของการพอ กล่าวคือ ถึงแม้จะรักเขาก็ไม่อยากทำให้เขาไม่สบายใจ จึงขอแอบมองแอบชอบเธออยู่ที่มุมมุมนี้[1]

ย้ายไปแกรมมี่

หลังจากนั้น ถัดมาอีกเป็นเวลา 1 ปีด้วยกันเพลย์กราวด์ได้ย้ายจาก RIP Studio มาอยู่ในค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่และได้ร่วมทำกิจกรรมแรกโดยการเป็นครูสอนหนังสือเด็กชาวเขาที่โรงเรียนขนาดเล็กในชนบทจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งทางองค์การแอ็คชั่นเอด ร่วมกับจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นในเดือน พฤษภาคมปี 2551 โดยมีกิจกรรมความสนุกมากมาย เช่น กิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ หรือแม้แต่การแสดงดนตรีก็ตาม[2] ถัดมาอีกเกือบ 2 เดือน ก็ปล่อยซิงเกิลแรกออกมาสู่ผู้ฟัง โดยเพลงแรกที่ถูกปล่อยออกมาให้ฟังกันคือ เพลง เจ้าชู้? ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการใส่เสียงร้องของเด็กเป็นทำนองจากภาพยนตร์เรื่อง "เดอะคอรัส"[3] และตามด้วยเพลง แมลงโง่ โดย เมื่อเวลา 13.00 น.เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญรับวันวาเลนไทน์ เมื่อรถบัสเบรกแตกวิ่งชนอัดก๊อปปี้กับรถตู้ของทางวง โดยเหตุเกิดขึ้นบริเวณอำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ขณะเพลย์กราวด์นั่งรถตู้กลับกรุงเทพ เพื่อมาแสดงคอนเสิร์ตต่อที่ผับ ย่านเกษตร-นวมินทร์ ได้มีรถบัสเบรกแตกเข้ามาชนรถตู้ที่เพลย์กราวด์นั่งอยู่ ทำให้เสียหลักพุ่งไปประสานงากับรถคันข้างหน้าแบบอัดก๊อปปี้สภาพรถตู้จึงพังยับไปทั้งคัน ขณะที่ผู้บาดเจ็บนั้นมี “ติ๊ก” (กฤษติกร พรสาธิต) นักร้องนำ มีอาการปวดขา “เก้ง” (ปรัชญา คำเมือง) มือเบสของวง หัวแตก ปากแตกและฟันบิ่นเล็กน้อย ส่วนตุลย์ (ตุลย์ เหมือนสร้อย) และ ตุ้ย (วัชระ ชัยพันธุ์) มือกีตาร์นั้นบาดเจ็บเล็กน้อย และได้นำวงเพลย์กราวด์ส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อเช็คอาการ โดยทั้งหมดปลอดภัย และผ่านเรื่องร้ายมาด้วยดี[4] ต่อกันที่งานเพลง หลังจากที่เพลง แมลงโง่ เริ่มซาลงไปแล้วนั้นเพลย์กราวด์ได้ปล่อยเพลงใหม่ คือ เพลง ไร้สาระ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีมากและได้ถูกนำมาทำ มิวสิกวิดีโอ ซึ่งในมิวสิกวิดีโอเพลง ไร้สาระนี้ ติ๊ก (นักร้องนำ) ได้แสดงด้วย สำหรับมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ เป็นการเล่าเรื่องของตุ๊กตาตัวหนึ่ง ที่ผู้หญิงไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจ แต่ก็ยังคอยเฝ้าดูเธอต่อไป แม้ว่าใครจะมองว่ามันไร้สาระก็ตาม [5]หลังจากนั้นไม่นานนักเพลย์กราวด์จึงปล่อยเพลง อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ออกมาสู่ผู้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในมิวสิกวิดีโอ อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง Playground ได้ชวน ญาติมิตร สหาย แฟนเพลงมาเล่นในมิวสิกวิดีโอนี้ด้วย โดยเนื้อหาเพลง กล่าวถึงความโชคดีของการได้พบ คนที่รัก เพื่อน หรือ แฟนคลับ อีกครั้งหนึ่ง โดยแสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของวัยไว้อย่างชัดเจน และได้วางแผงอัลบัม Playboy & Girl ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 และหลังจากวางแผงได้ไม่นานก็ได้ปล่อยเพลง ตั้งแต่วันนั้น และเพลงฟุ้งซ่าน[6]

ก่อนปิดภาคเรียนฤดูร้อนปี 2552 ปลายเดือนกุมภาพันธ์เพลย์กราวด์ได้ปล่อย ซิงเกิลใหม่ ออกมาต้อนรับปิดเทอมซึ่งไม่ใช่เพลงในอัลบัม Playboy & Girl แต่ถูกเล่นครั้งแรกในงานคอนเสิร์ต MRD Malng Rock Day ครั้งที่ 5 เป็นที่แรก เพลงนั้นคือ เพลง คนคิดมาก โดยยกกองไปถ่ายทำกันตั้งแต่เช้าที่ สตูดิโอ125 ย่านเหม่งจ๋าย โดยได้ Babymime คณะตลกใบ้ชื่อดัง ที่จะทำการแสดงโชว์กลางเดือน มีนาคม 2552 มาร่วมเล่น มิวสิก วิดีโอด้วย ซึ่งในมิวสิกวิดีโอ จะแสดงให้เห็นถึงการจีบผู้หญิงในแบบฉบับของตลกใบ้ ชื่อดังอย่าง Babymime อีกด้วย โดยมิวสิกวีดิโอเพลงนี้ ทางผู้กำกับยังได้ใช้เทคนิค 1 ช๊อตในการถ่ายทำ[7] หลังจากซิงเกิลแรก เพลง “ของมีค่า” คือซิงเกิลล่าสุดที่พวกเขาเลือกมาให้ฟังกันต่อ โดยนอกจากจะใช้เวลาในการทำเพลงนานนับปีแล้ว พวกเขายังเตรียมส่งมิวสิกวีดีโอมาให้ชมกันด้วย ส่วนของ เอ็มวี "ของมีค่า" ทางผู้กำกับเอ็มวี อย่าง ภานุ สุดใจ ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานใน MV "คนคิดมาก" ได้ดีไซน์เอ็มวีให้ออกมาเป็นแอนิเมชันเรื่องราวน่ารัก ๆ ของแมวสองตัวที่ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย กว่าจะได้ครองรักกัน ซึ่งได้ ทรงศีล ทิวสมบุญ นักเขียนการ์ตูนเจ้าของผลงาน "ถั่วงอกหัวไฟ" มาเป็นผู้วาด พร้อมกันนี้ หนุ่ม ๆ เพลย์กราวด์ยังมีคาแรคเตอร์ของแต่ละคนในรูปแบบการ์ตูนมาปรากฏในมิวสิกวีดีโอตัวนี้ด้วย ที่สำคัญ แอนิเมชัน "ของมีค่า" ยังนำเสนอด้วยเทคนิค Stop Motion-Pop up หรือการค่อย ๆ ขยับตัวการ์ตูนบนหนังสือภาพ Pop up ไปทีละนิด และถ่ายภาพไว้ทุกเฟรม ก่อนจะภาพมาฉายต่อเนื่องด้วยความเร็ว 1 วินาทีต่อ 15 เฟรม[8]

ซิงเกิลต่อไปหลังจากนั้น คือ เรื่องสมมุติ เป็นเพลงที่มีเนื้อหา สไตล์เพ้อฟัน ถึงความรักที่จะได้จากคนที่แอบรัก เลยสมมุติว่าถ้าฟ้าให้เราคู่กันจะเป็นอย่างไร สำหรับ แนวดนตรีนี้ เป็นจังหวะที่ค่อนข้างเร็ว ซึ่งเปิดตัวได้อย่างสวยงามที่ New Entry อันดับ 17[9] และทำอันดับที่ อันดับ 1 ถึง 4 สัปดาห์ ของชาร์ต Hot Wave เลยทีเดียว แม้แต่ในชาร์ตอื่น ๆ ก็ตาม อาทิเช่น Fat Radio, Vergin Hitz หรือแม้แต่ Chill FM ก็ขึ้นชาร์ตในอันดับสูง ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนมิวสิกวิดีโอนั้น ได้ผู้กำกับเจ้าเก่า ที่เคยกำกับมิวสิกวิดีโอ "คนคิดมาก" และ "ของมีค่า" อย่าง ภาณุ สุดใจ มาทำมิวสิกวิดีโอ เพลง"เรื่องสมมุติ" อีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยได้นักแสดงสาว "จุก" ธนิยา อำมฤตโชติ จาก ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น มารับบทเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอนี้ด้วย ซึ่งเรื่องราวภายในเอ็มวีนั้น นางเอกสาวของเราต้องถูกจับขังอยู่ในพิพิธภัณฑ์ กับพระเอก ซึ่งไปตามหาความรัก ส่วนนางเอกนั้นก็หนีไปเรื่อย ๆ คือ ประมาณว่า นางเอกแบบงงว่าพระเอกเป็นใครอะไรทำนองนี้แล้วมายุ่งกับเราทำไม นางเอกของเรานั้นจะค่อนข้างเ ป็นคุณหนู ส่วนวงดนตรีของเรานั้น Playground นั้นก็เป็นคนร้องเพลงแต่ร้องอยู่ภายใน พิพิธภัณฑ์ เป็นกรอบรูป โดยมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ คอยช่วยบอกทางให้พระเอกตามหานางเอก แต่ผลสรุปสุดท้ายแล้ว มันก็เป็นแค่เรื่องสมมุติที่อยากให้เป็นเรื่องจริง เพราะว่ามันเป็นแค่จินตนาการของพระเอกเท่านั้นเอง[10]

ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ศิลปินวง Playground ได้เข้าร่วมงาน "ฉายเสียง" ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นโดย Action Aids ซึ่ง Playground ได้รับแต่งตั้งเป็น ทูต Action Aid หน้าที่หลัก ก็คือ การเป็นทูตไปเยี่ยมเยียนผู้ยากจน ห่างไกลความเจริญ เช่น ชาวเขา ฯลฯ ซึ่ง Playground ก็ได้ไปทำหน้าที่มาแล้วครั้งหนึ่งที่ จังหวัด แม่ฮ่องสอน แต่สำหรับงานในวันเสาร์นั้น ก็คือการร่วมงาน "ฉายเสียง" ซึ่งมีกิจกรรม ในส่วนของโครงการ 'Action Aid Shining of the Rights : แสงประกายแห่งสิทธิ และโอกาส' ที่เป็นโครงการที่ทำให้เราได้เล็งเห็นถึงสิทธิ และโอกาสของผู้ด้อยโอกาส และให้ผู้ด้อยโอกาสมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพื่อให้ทุกคนในสังคมมีสิทธิและความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยเป็นการประกวดภาพยนตร์สั้น รวมทั้งยังมีการเปิดตัวภาพยนตร์สั้นเรื่องล่าสุด จากสองผู้กำกับชื่อดังจากทาง GTH และมีการประกาศผลรางวัล Short Film Award ในหัวข้อเรื่อง 'Full start - เราเท่ากัน ฉันเท่าเธอ' ที่ได้ให้นักศึกษาส่งผลงานเข้ามา ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมายรวมทั้ง Playground ด้วย ซึ่ง Playground จะทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสตามชนบทไปเรื่อย ๆ[11]

เพลง ลำดับถัดมาที่ปล่อยออกมา คือ เพลง หม่น ซึ่งปล่อยออกมาต้นเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2552 นั้นเอง ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ 4 ที่ปล่อยออกมาแต่เป็นเพลงช้าเพลงที่ 2 ต่อจากเพลง ของมีค่า ซึ่งเพลงนี้เมื่อสำรวจตามเว็บเสิร์จเอนจินต่าง ๆ แล้วจะพบว่า ช่วงก่อนที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมามีแต่ผู้คนรอคอยถามหาว่าเมื่อไหรจะปล่อยเพลงนี้ออกมา ซึ่งเมื่อปล่อยออกมาแล้วก็ได้รับกระแสที่ตอบรับที่ดีจากกลุ่มแฟนเพลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากทั้งเนื้อเพลง และทำนองลงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเนื้อเพลงกล่าวถึง คนที่ถูกทิ้ง ทุกอย่างดูหม่นไปหมด มองไปทั้งไหนก็ไม่มีใครยังคงอ้างว้างเดียวดาย หม่นจนแทบทนไม่ไหว มีทางไหนบ้างไหมที่ทำให้ฉันจะลืมเธอได้ ส่วนมิวสิกวิดีโอนั้น ได้ผู้กำกับคนเดิม คือ ภาณุ สุดใจ กลับมาทำมิวสิกวิดีโอให้อีกเช่นเคย โดนมิวสิกวิดีโอเพลง "หม่น" นี้ เป็นมิวสิกวิดีโอที่เล่าเรื่องของ สุนัข ตัวหนึ่งที่ถูกเจ้าของทิ้ง โดนเล่าเรื่องโดยการให้สุนัขสวมชุดนักบินอวกาศ ซึ่งแน่นอนในฐานะเจ้าของเพลง ก็ต้องแสดงด้วย ดังนั้น Playground จึงต้องใส่ชุดนักบินอวกาศด้วย มาคอยเ ป็นแบ๊คกราวด์ให้สำหรับการเล่าเรื่องของเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ โดยเล่าโดยที่สุนัขสวมชุดนักบินอวกาศลอยไปลอยมาทำหน้าตาสงสารอยู่ในอวกาศ ซึ่งสลับกับการฉายภาพเก่า ๆ ที่สุนัขตัวนี้เคยได้อ้อมกอดที่อบอุ่นจากเจ้านายในช่วงเวลาแต่ก่อน ซึ่งในตอนสุดท้ายของมิวสิกวิดีโอ สุนัขตัวนี้ก็ลอยหายไปพร้อมกับความหม่นในห้วงอากาศ[12]

หลังจากที่ ติ๊ก Playground ได้ร้องเพลงในอัลบัม Value Of Love ซึ่งเป็นอัลบัมพิเศษที่ร้องร่วมกับศิลปินอีกหลายคน อาทิ แอนดี้ เข็มพิมุก แนน วาทิยา และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง ติ๊ก Playground ได้ร้องเพลง คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ... ซึ่งต้นฉบับเป็นเพลง ดั่งเดิมของศิลปิน วง Taxi ซึ่งได้ถูกนำมาเปลี่ยนทำนอง และใช้เสียงร้องของ ติ๊ก Playground ซึ่งที่สุดในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553 ก็ได้ทำการปล่อยมิวสิกวิดีโอ เพลง คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ... ออกมาสู่สาธารณชน

การรวมตัวอีกครั้ง

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 วง Playground ได้รวมตัวกันอีกครั้งในการทำกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งร่วมกับองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล สำนักงานประเทศไทย และบริษัทต้นสังกัดอย่างจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ในโครงการ "ธนาคารต้นไม้" ที่หมู่บ้านสันต้นเปา ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งต้องการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชน ตระหนักในคุณค่าและประโยชน์จากการดูแลป่าไม้ชุมชน กิจกรรมแรก คือ การเดินพาน้อง ๆ เดินป่าสำรวจพันธุ์ไม้ และกิจกรรมหลังจากนั้นก็เป็นกิจกรรมสำหรับการที่มีพี่เลี้ยงเป็นนักร้องคือ การร้องเพลงนั้นเอง นอกจากร้องเพลงของพวกเขาซึ่งเป็นเพลงไทยสากลแล้ว พวกเขายังร้องเพลงลูกทุ่งเอาใจคนรุ่นใหญ่อีกด้วย ซึ่งการที่ได้มาทำกิจกรรม Playground กล่าวว่า “สนุกมากครับ วันนี้ได้เพลิดเพลินได้ชมต้นไม้ พรรณไม้ต่างในชุมชน และยังได้ความรู้ในเรื่องของสมุนไพรอีกด้วย ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับที่น้อง ๆ ในชุมชนนี้มีโอกาสได้สัมผัสกับป่าไม้แทนที่จะเป็นป่าคอนกรีตที่ผมเจอทุกวัน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้กับน้อง ๆ และชุมชนนี้ที่มีใจในการอนุรักษ์ป่าไม้เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับเด็ก ๆ ของเรานะครับ” [13]

หลังจากห่างจากซิงเกิลที่สี่ เพลง "หม่น" ไปเกือบ ๆ ร่วมสองปี ในที่สุด ศิลปินวง Playground ได้ถึงเวลาปล่อยซิงเกิลใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นซิงเกิลที่ห้า ซึ่งทำการแสดงสดเป็นครั้งแรกที่บริเวณลานด้านหลังของห้างสรรพสินค้า แปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา กับซิงเกิลที่ห้าที่มีชื่อว่า "แด่ความฝันของมวลมนุษยชาติ" ซึ่งยังไม่มีการปล่อยออกอากาศตามสถานีแต่อย่างใด และหลังจากนั้นไม่นานวง Playground ได้ไปถ่ายทำปกอัลบัมล่าสุดของพวกเขา [14] หลังจากนั้นไม่นานได้ทำการปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง "แด่ความฝันของมวลมนุษยชาติ" ออกมา โดยมีแก่นเรื่องที่แปลกต่างจากวิดีโดทั่วไปโดยเป็นการเดินทางของมนุษย์อวกาศที่เดินทางไปที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรอวันที่จะขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ ตามความฝันของมนุษยชาติ หลังจากนั้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 Playground ได้ถือฤกษ์ เปิดตัวอัลบัมใหม่ โดยจัดงานร่วมกับการเปิดอัลบัมใหม่ของ Pancake ด้วย โดยอัลบัมนี้เป็นอัลบัมชุดที่สี่ของ Playground โดยใช้ชื่อว่า Apollo 0.4 ตามชุดที่อัลบัมและตามคอนเซ็ปของอัลบัม โดยในวันแถลงข่าวเปิดอัลบัม Playground ได้โชว์เพลงใหม่ถึงสามเพลงในงานด้วยกันคือ เพลง "แด่ความฝันของมวลมนุษยชาติ" เพลงช้าเพราะ ๆ ซึ้ง ๆ ความหมายดี ๆ อย่างเพลง "ขาด" และเพลงสุดท้ายคือเพลง "ความคิดถึงไม่มีเหตุผล"[15]

หลังจากที่ปล่อยเพลง "แด่ความฝันของมวลมนุษยชาติ" ไปได้ซักพักแล้ว ได้ทำการปล่อยซิงเกิลที่สอง คือ "ขาด" และในวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 โดยเพลงขาด เป็นเพลงช้า ๆ เนื้อหาเกี่ยวกับการที่เราขาดใครสักคนไม่ได้ แต่ในมิวสิกวิดีโอนั้น ได้แสดงถึงจุดประสงค์ของการแต่งเพลงนี้ของพี่ติ๊ก คือ ในมิวสิกวิดีโอนั้นแสดงถึงการเป็นเด็กว่าเรามีสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แต่เมื่อเราโตขึ้นเรากลับขาดมันไป นั่นก็คือ "ความฝัน" นั่นเอง และ Playground ได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพลง "ขาด" กระโดดจากอันดับที่ 16 มาถึงอันดับที่ 3 เลยทีเดียวในวันที่ 21 สิงหาคม 2554 ของ Seed Chart ด้วยเวลาแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้นเอง ซึ่งนอกจากเพลงนี้จะตีความหมายในเรื่องเกี่ยวกับการขาดความฝันแล้วยังสามารถตีความได้หลากหลายแนวตามความคิดของแต่ละคนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความฝัน ความรัก มิตรภาพ ซึ่งแต่ล่ะคนที่ขาดมันไปจะตีความออกมา แล้วก็ได้เลิกในการปล่อยอัลบัม Apollo 0.4 อัลบัมลำดับที่ 4 ของ Playground ซึ่งภายในอัลบัมประกอบด้วยเพลงทั้งสิ้น 14 เพลงด้วยกัน ซึ่งวางแผงในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 แต่งานแถลงข่าวยังคงต้องถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากมีสมาชิกในวงประสบอุบัติเหตุทางใบหน้า คือ เก้ง Playground โดยจะเลื่อนจากวันที่ 25 สิงหาคม 2554 เป็นวันที่ 8 กันยายน 2554 ต่อจากที่ปล่อยเพลง "ขาด" เพลงจังหวะสนุก ๆ อย่างเพลง "ความคิดถึงไม่เคยมีเหตุผล" โดยที่มิวสิกวิดีโอเป็นการนำเกมส์ประจำอัลบัมคือ จรวดส่งข้อมความในสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊คมาทำเป็นมิวสิกวิดีโอ โดยเพลง ๆ นี้ก็สามารถติดชาร์ตได้ในหลาย ๆ คลื่นวิทยุอีกด้วย หลังจากปล่อยเพลง "ความคิดถึงไม่เคยมีเหตุผล" ไปแล้ว เพลงที่ปล่อยต่อมาคือเพลง จังหวะช้า ๆ ซึ้ง ๆ เช่นเดียวกัยเพลง "ขาด" อย่างเพลง "ใจหาย" ซึ่งถือเป็นซิงเกิลที่แปดที่ถูกปล่อยออกมาจากอัลบัม รวมทั้งมีการปล่อยเอ็มวีซึ่งเป็นตัวที่แปดในอัลบัมด้วยเช่นกัน

ในช่วงปลายปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่ Playground มีอายุครบ 10 ปีพอดี ได้ฉลองด้วยการปล่อยซิงเกิลใหม่ที่มีชื่อเดียวกับการครบรอบคือ Anniversary ออกมาสู่ตลาด โดยใช้จังหวะชิว ๆ โดยได้ย้ายมาสังกัดค่ายเพลงย่อยในเครือแกรมมี่อย่าง "สนามหลวงมิวสิค" และในปีถัดมาได้ออกซิงเกิลเพลง "คนแปลกหน้าคนนี้" ที่ทำให้ชื่อของเขากลับมาเป็นที่สนใจมากอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นวงก็หายหน้าหายตาไปจากการออกซิงเกิลถึงสามปี ก่อนที่จะย้ายเข้ามาค่ายใหม่อย่าง "มี เรคคอร์ด" โดยมีซิงเกิลเพลงแรกเป็นเพลงจังหวะสนุกอย่าง "เนย" และตามมาด้วยเพลงจังหวะช้า ๆ ที่ทำให้ชื่อของวงกลับไปปรากฏอยู่บนชาร์ตเพลงอีกครั้งอย่างเพลง "คนที่ไม่มีความหมาย" ก่อนที่ปีถัดมาจากนั้นวงจะออกซิงเกิลใหม่ชื่อว่า "สารภาพ" มีข้อสังเกตในซิงเกิลเพลงที่สามนี้ที่ปรากฏสมาชิกวงเพียงสามคนจากที่โดยปกติแล้วจะมีสมาชิกที่ออกสื่ออยู่ถึงสี่คน สมาชิกที่หายไปในซิงเกิลที่สามนี้คือ มือเบสอย่าง "เก้ง" ปรัชญา คำเมือง ที่ได้โพสต์เสตตัสหลังจากเพลงนี้ออนแอร์ว่าเจ้าตัวตัดสินใจพักการทำงานในวงไปชั่วคราวก่อน เพราะมีสิ่งที่ต้องทำ[16]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เพลย์กราวด์ http://www.aboutplayground.com http://aboutplayground0120.gmember.com/news_01.php... http://aboutplayground0120.gmember.com/news_01.php... http://aboutplayground0120.gmember.com/news_01.php... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=... http://inside.gmember.com/news_detail.php?news_id=...