พระชนม์ชีพ ของ เม็ชทิลท์แห่งฮ็อลชไตน์

เม็ชทิลท์ หรือ มาทิลดาเป็นธิดาในอาด็อล์ฟที่ 4 เคานต์แห่งฮ็อลชไตน์กับไฮล์วิชแห่งลิพเพอ ในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1237 เม็ชทิลท์อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอเบลแห่งเดนมาร์กในดัชชีชเลสวิช พิธีเสกสมรสถูกจัดขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างฮ็อลชไตน์กับจัตแลนด์ใต้ ใน ค.ศ. 1239 เจ้าชายอเบลได้เป็นผู้ปกครองให้แก่น้องชายสองคนของเม็ชทิลท์

เมื่อดยุกอเบลได้เป็นพระมหากษัตริย์ใน ค.ศ. 1250 เม็ชทิลท์ได้รับการสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระราชินีและประกอบพิธีราชาภิเษกที่รอสคิลด์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เมื่อกษัตริย์อเบลสวรรคตใน ค.ศ. 1252 ราชบัลลังก์เดนมาร์กถูกส่งผ่านไปยังพระอนุชาของพระสวามี แทนที่จะเป็นพระราชโอรสของพระนาง คือ เจ้าชายวัลเดมาร์ซึ่งทรงถูกคุมขังอยู่ที่โคโลญในขณะนั้น และสมเด็จพระราชินีเม็ชทิลท์ เมื่อทรงเป็นพระพันปีหลวงได้ถูกบีบบังคับให้ออกจากเดนมาร์กและเข้าไปพำนักในสำนักชี

สมเด็จพระพันปีหลวงเม็ชทิลท์ทรงพยายามให้เจ้าชายวัลเดมาร์ พระโอรสของพระนางถูกปล่อยตัวจากที่คุมขังของอาร์กบิชอปแห่งโคโลญ และทรงต่อสู้เพื่อให้พระราชโอรสของพระนางได้รับสิทธิสืบมรดกในดัชชีชเลสวิช ใน ค.ศ. 1253 พระนางทรงสามารถปกป้องสิทธิในมรดกของดัชชีจัตแลนด์ใต้ให้อยู่ในการปกครองของเจ้าชายวัลเดมาร์ พระราชโอรสได้[1]

ใน ค.ศ. 1260 วัลเดมาร์ที่ 3 ดยุกแห่งชเลสวิก พระราชโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์ พระนางจึงทรงปกป้องการสืบตำแหน่งให้มาสู่พระโอรสองค์รองคือ เจ้าชายอีริค ในปีเดียวกันสมเด็จพระพันปีหลวงทรงมอบพื้นที่ไอเดอและอ่าวชเลในจัตแลนด์ใต้ให้แก่น้องชายของพระนาง

พระนางทรงทำข้อตกลงกับจาค็อบ เออลันด์เซน อาร์กบิชอปแห่งลุนด์ และจากนั้นทรงสละสมณเพศเพื่อเสกสมรสกับผู้สำเร็จราชการสวีเดน คือ บีร์เยอ ยาร์ล ใน ค.ศ. 1261 บีร์เยอเคยเป็นศัตรูของกษัตริย์อเบล และไม่นานก่อนกษัตริย์สวรรคต บีร์เยอสร้างความพยาบาทอันยาวนานทางการทหารต่อต้านพระองค์ และทุกอย่างยุติลงเมื่อกษัตริย์สวรรคต[2] หลังจากบีร์เยอถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1266 สมเด็จพระพันปีหลวงเม็ชทิลท์ทรงย้ายไปประทับที่คีล แต่เมื่อสิ้นพระชนม์หลุมพระศพของพระนางอยู่เคียงข้างบีร์เยอในวาร์นเฮม สวีเดน

ใน ค.ศ. 1288 ไม่นานก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ พระนางทรงยกไอเดอร์และชเลให้พระอนุชา สมเด็จพระราชินีเม็ชทิลท์นั้นไม่ทรงเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนชาวเดนมาร์ก พระนางถูกเรียกว่าเป็น "บุตรีแห่งปีศาจ"[3] และทรงถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการสั่งเผาทำลายพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระสันตะปาปาและจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาถึงพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก[4]