พระประวัติ ของ เรียม_เพศยนาวิน

พระชนม์ชีพช่วงต้น

จิกปวนมาเรียม มีพระนามเดิมว่ามาเรียม เพศยนาวิน แต่รัฐบาลรณรงค์ให้ใช้ชื่อเป็นภาษาไทยจึงเปลี่ยนเป็นเรียม ประสูติเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2465 ณ อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนโตจากทั้งหมดเจ็ดคนของสุมิต เพศยนาวิน ชาวไทยมุสลิม กับภริยาไทยเชื้อสายจีน เบื้องต้นพระองค์เข้ารับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหัสดัมอิสลามวิทยาลัย[2]

ในยุคนโยบายชาตินิยมได้มีการออกพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติในปี พ.ศ. 2485 ให้ใช้ชื่อให้เหมาะสมกับเพศสภาพ พระองค์จึงเปลี่ยนพระนามเป็น "เรียมรมย์" พักหนึ่ง หลังผ่านยุคนั้นก็กลับมาใช้ชื่อ "เรียม" ตามเดิม[2][4]

ประกวดนางสาวไทย

จิกปวนมาเรียมได้เข้าร่วมการประกวดนางสาวไทยส่งเข้าประกวดในนามของอำเภอยานนาวา ระหว่างการฉลองรัฐธรรมนูญระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อการประกวดจากเดิมคือนางสาวสยามเป็นนางสาวไทยตามชื่อใหม่ของประเทศ[5] นอกจากนี้การประกวดนางสาวไทยยังให้ผู้เข้าประกวดสวมชุดเสื้อกระโปรงติดกันเปิดแผ่นหลังครึ่งหลัง ตัวกระโปรงยาวถึงหัวเข่าเพื่อความทันสมัย จากเดิมที่ผู้ประกวดจะสวมชุดไทยสไบเฉียง[2] ซึ่งจากการประกาศผลในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2482 ได้ประกาศให้เรียม เพศยนาวินวัย 16 ปี จากอำเภอยานนาวาครองตำแหน่งนางสาวไทย[1][3] โดยมีมาลี พันธุมจินดา, เทียมจันทร์ วนิชขจร, เจริญศรี ปาศะบุตร และลำยอง สู่พานิชย์ เป็นรองนางสาวไทยอันดับที่ 1-4 ตามลำดับ

โดยพระองค์ได้รับรางวัลที่นับว่ามีค่าในขณะนั้น เช่น พานรอง, ขันน้ำ, จักรยาน หรือโต๊ะเครื่องแป้ง เป็นอาทิ หลังรับตำแหน่งแล้วพระองค์จะมีหน้าที่สำหรับการประชาสัมพันธ์นโยบายการสร้างชาติของรัฐบาล หรือมีบทบาทสำคัญต่อการรังสรรค์ประเทศ อย่างเช่นช่วงประเทศกำลังประสบปัญหาในสงครามอินโดจีน พระองค์ได้นำถ้วยเงินออกขายเพื่อนำเงินมาบำรุงประเทศ[5]

เสกสมรส

ในปี พ.ศ. 2494 รายาปูตราแห่งปะลิสได้เสด็จมาประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์และมีพระประสงค์ที่จะประทับในบ้านมุสลิมเพื่อหลีกเลี่ยงการต้อนรับอย่างเอิกเกริกรวมทั้งต้องการทอดพระเนตรมุสลิมผู้รับตำแหน่งนางสาวไทยด้วย โดยเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูลจึงให้พระองค์ประทับ ณ บ้านของนิพนธ์ สิงห์สุมาลี ซึ่งขณะนั้นเรียมก็ประทับอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวด้วย แต่ทว่าเรียมหลบเลี่ยงที่พบปะกับรายาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเรียมทรงแบตมินตันกับบุตรสาวของนิพนธ์ องค์รายาได้ออกมาทอดพระเนตรพอดีและทรงพอพระทัยยิ่ง[2]

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 รายาได้นำพระธำมรงค์ 10 กะรัต และเงิน 10,000 บาท มาทำพิธีหมั้นที่บ้านของนิพนธ์อย่างเรียบง่าย โดยมีต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรีในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี หลังจากนั้นอีกสองเดือน จึงได้จัดพิธีเสกสมรสอย่างเรียบง่ายเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมปีนั้นโดยมีจุฬาราชมนตรีมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และมีแขกมาร่วมงานราว 50 คน[2] หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรียมจึงมีตำแหน่งเป็นจิกปวน (Che’ Puan) หรือพระมเหสีรอง เพราะรายามีพระมเหสีอยู่ก่อนแล้วคือราจาเปอเริมปวนบูดรียะห์แห่งปัตตานี (Raja Perempuan Budriah) ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามแล้วผู้ชายจะมีภรรยาได้สี่คน ทั้งนี้รายาและจิกปวนมาเรียมมีพระโอรส-ธิดาด้วยกัน 4 พระองค์ ได้แก่

  1. เจ้าชายไซนัล-ราชิด (Syed Zainal-Rashid; 18 เมษายน พ.ศ. 2496)
  2. เจ้าชายอัซนี หรือ อัศนีย์ (Syed Azni; 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2497) เสกสมรสกับเติงกูอิลฮัม มาลีนาแห่งปาฮัง (Tengku Ilham Malina of Pahang) มีพระโอรส-ธิดาสามพระองค์
  3. เจ้าชายบัดลีชะห์ หรือ รังสิกร[ก] (Syed Badlishah; 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) เสกสมรสและหย่ากับรสยาตี บินตีอะห์มัด (Rosyati binti Ahmad) และเสกสมรสอีกครั้งกับฟัซลีน บินตีอะห์มัด (Fazlyn binti Ahmad) มีพระโอรส-ธิดา 4 พระองค์
  4. เจ้าหญิงเมลานี (Sharifa Melanie; 30 มกราคม พ.ศ. 2511)

โดยจิกปวนมาเรียมทรงสอนให้พระราชโอรส-ธิดาพูดภาษาไทย ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในรัฐปะลิส เสด็จกลับประเทศไทยปีละสามครั้ง บ้างก็เสด็จไปเยี่ยมพระโอรสที่กำลังศึกษาในประเทศอังกฤษ

สิ้นพระชนม์

จิกปวนมาเรียมสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2529 ด้วยพระอาการพระหทัยวายเฉียบพลัน สิริชันษา 64 ปี พระศพถูกฝัง ณ สุสานหลวงประจำราชวงศ์จามาลูไลล์ รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย[2]