เหตุการณ์ ของ เสาร์ซาวเอ็ด

แรกเริ่มกิจกรรมเกย์พาเรดนี้มีกำหนดการจัดขึ้นโดยกลุ่มองค์กรด้านความหลากหลายทางเพศ 22 องค์กร โดยจะเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณวัดอุปคุต พุทธสถานเชียงใหม่ ไปตามถนนช้างคลาน ผ่านเชียงใหม่ไนท์บาซาร์ ในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศประชาสัมพันธ์การจัดงาน ได้มีกลุ่มคนต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ เช่น กลุ่มเชียงใหม่อารยะ, กลุ่มเกย์การเมืองไทย, เรนโบว์ดรีม, ผู้หญิงไม่แท้ของล้านนา และ บ้านสีม่วง โดยมีนที ธีระโรจนพงษ์ นักกิจกรรมการเมืองและความหลากหลายทางเพศอนุรักษนิยม เลขานุการของกลุ่มเชียงใหม่อารยะ เป็นแกนนำ ได้รวมตัวกันร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ จังหวัดให้ยุติกิจกรรมดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการทำให้วัฒนธรรมล้านนาถูกมองในแง่ลบ, นำไปสู่การเลียนแบบโดยเยาวชน และเป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องเสียวัฒนธรรมของเชียงใหม่เพื่อเอื้อผลประโยชน์ตน[1] ซึ่งหน่วยราชการ, เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่, ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกมาแสดงท่าทีเห็นด้วยต่อการยกเลิกกิจกรรมด้วยเหตุผลคือเป็นการ “ไม่เหมาะสมและขัดต่อวัฒนธรรมเชียงใหม่” นอกจากนี้สื่อท้องถิ่น เช่น หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์และสถานีวิทยุท้องถิ่นได้เผยแพร่ข้อความสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งปลุกระดมมวลชนให้เข้าปั่นป่วนกิจกรรมและขว้างปาสิ่งของใส่ขบวน[5][1]

ในวันจัดงาน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รวมตัวกันที่วัดอุปคุต พุทธสถานเมืองเชียงใหม่ เพื่อเตรียมตัวเริ่มเดินขบวน ในเวลาราว 16:00 น. ได้มีกลุ่มที่อ้างตนว่าเป็นคนเสื้อแดงเชียงใหม่ภายใต้ชื่อ กลุ่มฮักเชียงใหม่ 51 ซึ่งติดอาวุธ สื่อต่าง ๆ ได้รายงานว่ามีจำนวน “พันคน” เข้าปิดล้อมบริเวณพุทธสถานด้วยรถบรรทุก, เครื่องขยายเสียง, ป้ายต่อต้าน กักไม่ให้ผู้ร่วมงานไพรด์เริ่มเดินขบวนได้ ระหว่างการปิดล้อมนั้นกลุ่มฮักเชียงใหม่ 51 ได้มีการใช้คำหยาบคายต่อผู้เข้าร่วมกิจกรรม, มีการขว้างปาวันถุ, ก้อนหิน และเศษอาหาร ใส่ผู้จัดงานจนได้รับบาดเจ็บ[6][3] ต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 100 นาย เข้าสังเกตการณ์เหตุการณ์โดยไม่มีการไม่ห้ามปราม ในทางกลับกันได้แจ้งกับกลุ่มจัดพาเรดให้ปฏิบัติตามคำสั่งของกลุ่มฮักเชียงใหม่ 51 โดยยอมยกเลิกกิจกรรมและแสดงความขอโทษ เหตุการณ์ล้อมเกิดขึ้นเป็นเวลาสี่ชั่วโมงหลังผู้จัดงานตัดสินใจขอโทษและยกเลิกจัดงานในที่สุดด้วยเห็นแก่ประโยชน์ของผู้เข้าร่วมงานซึ่งหวาดกลัว[2][1]

ในบรรดาคำร้องขอและบังคับให้ยกเลิกจัดงานนั้นมีความหลากหลาย เช่น มีการอนุญาตให้จัดแต่ห้ามใช้คำว่า “เกย์” ในชื่องาน[2] ไปจนถึงการสั่งห้ามไม่ให้จัดงานประเภทเดียวกันนี้ในเชียงใหม่ไปอีก 1,500 ปี[7]