เหตุตู-154 ของกองทัพอากาศโปแลนด์ตก พ.ศ. 2553 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่ออากาศยาน
ตูโปเลฟ ตู-154เอ็มของกองทัพอากาศโปแลนด์ตกใกล้กับนคร
สโมเลนสค์ ประเทศรัสเซีย ทำให้ทั้ง 96 คนบนเครื่องเสียชีวิต ผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย
เลกซ์ คัชชินสกี ประธานาธิบดี กับมาเรีย ภริยา, ริสซาร์ด คัชซอโรว์สกี อดีตประธานาธิบดี, เสนาธิการโปแลนด์กับนายทหารอาวุโสของโปแลนด์คนอื่น ๆ, ประธานธนาคารแห่งชาติโปแลนด์, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์, ข้าราชการโปแลนด์ สมาชิกรัฐสภาโปแลนด์ 15 คน นักบวชอาวุโส อากาศยานดังกล่าวอยู่ในเส้นทางจากกรุง
วอร์ซอไปเข้าร่วมเหตุการณ์ครบรอบ 70 ปี
การสังหารหมู่คาทิน ซึ่งอยู่ห่างจากสโมเลนสค์ไปทางตะวันตกประมาณ 19 กิโลเมตรนักบินพยายามลงจอดที่อากาศยานสโมเลนสค์เหนือ ซึ่งเป็นอดีตฐานทัพอากาศ ท่ามกลางหมอกหนาซึ่งลดทัศนวิสัยลงเหลือประมาณ 500 เมตร อากาศยานอยู่ต่ำเกินไปเมื่อมาถึงลานบิน อากาศยานพุ่งเข้าชนต้นไม้ในหมอก ทำให้พลิกคว่ำ กระทบพื้น แตกเป็นเสี่ยง และมาหยุดอยู่ห่างจากลานบินในพื้นที่ป่า 200 เมตรวิธีดำเนินการ
องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศมอบหมายให้ประเทศรัสเซียรับผิดชอบการสืบสวนเป็นหลัก เพราะอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในแผ่นดินรัสเซีย ซึ่งดำเนินไปด้วยความร่วมมือจากนานาประเทศ ประเทศโปแลนด์ก็ตั้งคณะกรรมการของตนขึ้นเพื่อสืบสวนเหตุดังกล่าว และอัยการในทั้งสองประเทศเริ่มการสืบสวนอาชญากรรม รายงานของรัสเซียได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 และรายงานของโปแลนด์ได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 รายงานทั้งสองฉบับส่วนใหญ่กล่าวโทษอุบัติเหตุดังกล่าวต่อนักบินที่ลดระดับความสูงลงต่ำเกินไปโดยไม่สามารถมองเห็นพื้นดิน รายงานของโปแลนด์ก็วิพากษ์วิจารณ์การจัดระเบียบและผู้นำของกรมการบินพิเศษของโปแลนด์อย่างรุนแรง เช่นเดียวกับพบข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศของรัสเซีย และต่อแสงสว่างและเขตประชิดของท่าอากาศยาน แม้จะมีความสงสัยในเบื้องต้น แต่ผลพวงและการสืบสวนอุบัติเหตุมีผลกระทบโดยรวมอบอุ่นระหว่างสองประเทศ ประเทศโปแลนด์รู้สึกว่าการสืบสวนกระทำในรูปแบบที่เปิดเผยและยุติธรรมในภาพรวม ซึ่งตรงข้ามกับการสืบสวนของรัสเซียและโซเวียตในอดีต หลังอุบัติเหตุดังกล่าว รัสเซียตีพิมพ์เอกสารหวงห้ามว่าด้วยการสังหารหมู่คาทินอย่างเปิดเผย ตลอดจนลดชั้นความลับและตีพิมพ์อีกหลายชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น สภาดูมาของรัสเซียยังผ่านข้อมติที่ยอมรับว่า
โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต สั่งการสังหารหมู่คาทินด้วยตนเอง ภายหลังอนุสรณ์คาทินเป็นกิจการร่วมระหว่างรัสเซียกับโปแลนด์ ที่ผู้นำทั้งสองประเทศเข้าร่วม