ประวัติ ของ เหอ_เจียจิ้ง

เหอ เจียจิ้ง เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) ที่ฮ่องกง บิดามารดาแยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก คุณยายของเหอจึงเลี้ยงดูเขาต่อมา หลังจากคุณยายเสียชีวิตลง เหอเดินทางไปเรียนต่อที่วิทยาลัยนอริช ประเทศอังกฤษ พร้อมกับทำงานต่างๆ เพื่อหารายได้ระหว่างเรียน เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า ตัวเขาเองไม่เคยเลือกงาน ขอเพียงเป็นงานที่สุจริต ก็จะรับทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานล้างจาน หรือแม้แต่งานเก็บศพก็ตาม ระหว่างนั้นทางอังกฤษเพิ่มค่าครองชีพ เหอคำนวณว่ารายรับจากการทำงาน คงไม่เพียงพอกับค่าเล่าเรียน ดังนั้นจากเดิมที่ตั้งใจว่าจะเรียน 4 ปี จึงต้องลดลงเหลือเพียง 2 ปี จากนั้นจึงเดินทางกลับฮ่องกง

เหอชอบเล่นกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมาก เคยเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในระหว่างศึกษา หลังจากกลับฮ่องกง จึงตั้งใจสมัครเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการคัดเลือก จึงไปเรียนการแสดงที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งและมีผู้แนะนำให้ลองสมัครเป็นนักแสดง ขณะนั้นเอทีวีกำลังเปิดรับสมัครอยู่ ปรากฏว่าผ่านการคัดเลือก เป็นนักแสดงในที่สุด หลังจากนั้น เหอแสดงภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์หลายเรื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 จนขึ้นเป็นพระเอกอันดับหนึ่งของทางสถานีโทรทัศน์เอทีวี และออกอัลบั้มร้องเพลงเป็นของตนเอง แต่เหอกลับมีชื่อเสียง เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อหมดสัญญาจากทางฮ่องกง เขาก็ออกเดินทางไปยังไต้หวัน โดยไม่ต่อสัญญา สำหรับผลงานเรื่องสุดท้ายในฝั่งฮ่องกง คือละครโทรทัศน์ชุด ขี่พายุดาบเทวดา (ซึ่งต่อมาภายหลังจึงกลับมาเป็นที่นิยม เมื่อละครชุดเปาบุ้นจิ้น ซึ่งเหอร่วมแสดง ประสบความสำเร็จอย่างสูง)

เมื่อย้ายไปรับงานแสดงที่ไต้หวัน เหอแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกคือ งักฮุย เมื่อปี พ.ศ. 2533 ก่อนมาประสบความสำเร็จสูงสุด จากบทองครักษ์วังหลวงจั่น เจา ในละครชุดเปาบุ้นจิ้น ซึ่งออกฉายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ซึ่งความสำเร็จนี้ ส่งผลมายังประเทศไทย ขณะที่ละครชุดนี้ มาออกอากาศครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2537 ทำให้เขามีโอกาสมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย และบันทึกเทปให้สัมภาษณ์ในรายการทไวไลท์โชว์ ของไตรภพ ลิมปพัทธ์ รวมถึงถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาขนมขบเคี้ยว ทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538

สำหรับผลงานการแสดงในระยะหลัง เหอมีผลงานในฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า ภาคสอง ซึ่งถ่ายทำในประเทศไทย ซึ่งออกฉายในปลายปี พ.ศ. 2552 โดยรับบทเป็น บ่เมี้ย หรือ บุรุษนิรนามชุดดำ สำหรับชีวิตส่วนตัวของเหอ ยังคงครองตัวเป็นโสดจนถึงปัจจุบัน[1]