ประวัติ ของ เอกซ์บอกซ์

ในปี 2541 วิศวกร 3 คนจากทีมไดเรกเอกซ์ของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Kevin Bachus, Seamus Blackley, Ted Hase และผู้นำทีมไดเรกเอกซ์ในเวลานั้นอย่าง Otto Berkes ร่วมทีมกันเพื่อทำการแกะแล็ปท็อปยี่ห้อ Dell เพื่อสร้างตัวต้นแบบของเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานซอฟต์แวร์เป็นซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์ โดยทีมนี้หวังว่าจะสามารถสร้างเกมคอนโซลที่สามารถมีอาร์ดแวร์มาตรฐานเทียบเท่ากับเกมคอนโซลตัวถัดไปจากโซนีอย่าง เพลย์สเตชัน 2 ซึ่งพวกเขามองว่าได้ดึงนักพัฒนาบางส่วนไปจากการพัฒนาเกมบนวินโดว์ โดยหลังจากทำการประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทีมนี้ได้เข้าไปพบกับ Ed Fries ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกมของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้น เพื่อนำเสนอ "ไดเรกเอกซ์ บอกซ์" ตัวต้นแบบ ซึ่งเป็นเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีไดเรกเอกซ์ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มของ Berkes โดยหลังจากได้เห็นผลิตภัณฑ์แล้ว Fries จึงได้ตัดสินใจสนับสนุนไอเดียของทีมที่จะสร้างเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากไมโครซอฟท์ ไดเรกเอกซ์ขึ้น[9][10][11]

ระหว่างการพัฒนา ชื่อเดิมของเกมคอนโซลเครื่องนี้อย่าง ไดเรกเอกซ์ บอกซ์ ถูกย่อให้เหลือเพียง "เอกซ์บอกซ์" ทั้งนี้ฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์ไม่ได้ชอบชื่อนี้และพยายามเสนอชื่ออื่นขึ้นมาทดแทน ระหว่างการทดสอบในวงจำกัด ชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นหนึ่งในรายการชื่อที่เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้จะไม่เป็นที่นิยมต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามภายหลังการทดสอบกลับพบว่าชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าชื่ออื่น ๆ ทำให้ชื่อ "เอกซ์บอกซ์"กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์นี้[12]

นี่เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกของไมโครซอฟท์ภายหลังทำการพัฒนาร่วมกับเซก้าเพื่อพอร์ตไมโครซอฟท์ วินโดว์ ซีอี ไปยัง ดรีมแคสต์ โดยไมโครซอฟท์เลื่อนการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ไปหลายครั้ง เอกซ์บอกซ์ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในที่สาธารณะชนในช่วงครึ่งหลังปี 2542 ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของบิล เกตส์ที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้นว่า "พวกเราต้องการให้เอกซ์บอกซ์เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมและมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในโลก"[13]

เอกซ์บอกซ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 ในงาน Game Developers Conference[14] ผู้เข้าชมต่างประทับใจในเทคโนโลยีของมัน โดย ณ ช่วงเวลาที่บิล เกตส์ทำการประกาศเอกซ์บอกซ์ สถานการณ์ยอดขายของเซก้า ดรีมแคสต์กำลังลดลงและโซนี เพลย์สเตชัน 2 กำลังวางขายในประเทศญี่ปุ่น[15] ทั้งนี้เกตส์ได้พูดคุยกับประธานของเซก้า Isao Okawa เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการให้เอกซ์บอกซ์สามารถเข้ากันได้กับเกมของดรีมแคสต์ แต่การเจรจาล้มเหลวหลังการเจรจาถึงความเป็นไปได้ว่าจะใช้บริการเซก้าเน็ตในการออนไลน์หรือไม่[16]

ตัวเครื่องเอกซ์บอกซ์เปิดตัวสู่สาธารณะชนโดยเกตส์และนักมวยปล้ำอาชีพ เดอะ ร็อก ที่งาน CES 2001 ในลาสเวกัสเมื่อ 3 มกราคม 2544[17] ถัดมาในเดือนพฤษภาคม ณ งาน E3 2001 ไมโครซอฟท์เปิดเผยวันวางจำหน่ายและราคา[18] โดยเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องส่วนใหญ่ก็ประกาศภายในงานนี้ ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ และ เดดออร์อะไลฟ์ 3

และเนื่องจากความนิยมอันมหาศาลของเครื่องเล่นวิดีโอเกมในประเทศญี่ปุ่น ไมโครซอฟท์จึงชะลอการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ในทวีปยุโรปก่อน เพื่อมุ่งเน้นการทำตลาดไปยังตลาดเครื่องเล่นเกมในญี่ปุ่นก่อน ซึ่งแม้ว่าการเปิดตัวในยุโรปจะล้าช้า ก็ได้รับการพิสูจน์ทางยอดขายแล้วว่าประสบความสำเร็จมากกว่าการจัดจำหน่ายเครื่องเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่น

กลยุทธ์ของไมโครซอฟท์เพื่อจัดจำหน่ายเอกซ์บอกซ์มีประสิทธิภาพอย่างมาก อย่างเช่นในการเตรียมการสำหรับจัดจำหน่าย ไมโครซอฟท์เข้าซื้อบันจีและใช้เกม เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ เป็นเกมวางจำหน่ายพร้อมเครื่อง เนื่องจากในเวลานั้นวิดีโอเกมชุด โกลเด้นอาย 007 สำหรับ นินเทนโด 64 เป็นหนึ่งในเกมแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในระดับทั่วไปที่ปรากฏในเครื่องเล่นวิดีโอเกมเช่นเดียวกับเกม เพอร์เฟค ดาร์ก และ เมดัลออฟออเนอร์ โดย เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ กลายเป็นวิดีโอเกมที่เป็นปัจจัยสำคัญให้เอกซ์บอกซ์ขายได้ดี[15] และส่งผลให้ในปี 2545 ไมโครซอฟท์ได้ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมอันดับสองในตลาดอเมริกาเหนือ นอกจากนี้บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ยังทำให้ไมโครซอฟท์สามารถตั้งหลักในการเล่นเกมออนไลน์และช่วยให้เอกซ์บอกซ์กลายเป็นคู่แข่งกับเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่หกเครื่องอื่น ๆ ได้

การโปรโมท

ในปี 2545 องค์กร Independent Television Commission (ITC) จากสหราชอาณาจักร ทำการแบนโฆษณาสำหรับเอกซ์บอกซ์ในสหราชอาณาจักร หลังจากได้รับร้องเรียนว่าโฆษณาตัวนี้ทำให้เกิดความน่ารังเกียจ ความตกใจและมีรสนิยมไม่ดี โดยภาพในโฆษณาแสดงให้เห็นถึงมารดาให้กำเนิดเด็กทารกคนหนึ่งซึ่งถูกปล่อยออกจากท้องเหมือนกระสุนปืน พุ่งผ่านหน้าต่างและผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นจบลงที่เด็กคนที่พุ่งออกไปกลายเป็นชายแก่ตกลงบนหลุมฝังศพของเขาพร้อมคำโปรยว่า "ชีวิตมันสั้น เล่นให้มากกว่า"[19]

การยุติและรุ่นถัดไป

รุ่นถัดไปของเอกซ์บอกซ์ เครื่องเอกซ์บอกซ์ 360 เปิดเผยครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 พฤษภาคม 2548 บนช่อง MTV โดยเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคถัดไปเครื่องแรกที่ประกาศออกมา เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2548 Nvidia ยุติการผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิกสำหรับเอกซ์บอกซ์ในเดือนสิงหาคม 2548 ซึ่งถือเป็นการยุติการผลิตเอกซ์บอกซ์เครื่องใหม่[20] โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปของเอกซ์บอกซ์ คือเกม เส้าหลินโชว์ดาวน์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2550 และเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือคือเกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2551 การให้การสนับสนุนสำหรับเอกซ์บอกซ์ที่หมดการประกันนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 2 มีนาคม 2551 [21] และบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์นั้น สิ้นสุดการให้บริการเมื่อ 15 เมษายน 2552[22]

เอกซ์บอกซ์ 360 สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่ง สำหรับผู้เล่นที่มีฮาร์ดไดรฟ์อย่างเป็นทางการของเอกซ์บอกซ์ 360 โดยรายชื่อเกมเอกซ์บอกซ์ที่เล่นได้บน 360 ถูกเพิ่มมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 โดยเซฟบนเครื่องเอกซ์บอกซ์ไม่สามารถย้ายมายังเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ แม้ว่าบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์สิ้นสุดเมื่อ 15 เมษายน 2552 แต่ทว่ายังสามารถใช้บริการออนไลน์ผ่านทั้งเอกซ์บอกซ์และเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ผ่านชุดซอฟต์แวร์ XLink Kai นอกจากนี้ในงาน E3 2017 ได้มีการประกาศว่าเอกซ์บอกซ์วัน สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน

ใกล้เคียง

เอกซ์บอกซ์ (เครื่องเล่นวิดีโอเกม) เอกซ์บอกซ์วัน เอกซ์บอกซ์ 360 เอกซ์บอกซ์ซีรีส์เอกซ์และซีรีส์เอส เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ เอกซ์บอกซ์เกมสตูดิโอส์ เอกซ์บอกซ์ (ตราสินค้า) เอกซ์เอกซ์เอกซ์เทนเทสซิยอน

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอกซ์บอกซ์ http://www.smh.com.au/news/biztech/prepare-for-all... http://www.theage.com.au/articles/2002/02/22/Japan... http://thegia.psy-q.ch/sites/www.thegia.com/news/0... http://www.1up.com/news/xbox-live-cut-original-xbo... http://www.anandtech.com/show/853/2 http://news.cnet.com/2100-1040-250632.html http://news.cnet.com/8301-17938_105-20071383-1/xbo... http://news.cnet.com/Halo-2-clears-record-125-mill... http://www.dolby.com/assets/pdf/press_releases/841... http://www.eetimes.com/electronics-news/4090108/Mi...