ชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง ของ เอบราแฮม_ลิงคอล์น

1832 ขณะอายุได้ 23 ลิงคอล์นเข้าหุ้นส่วนซื้อร้านเล็ก ๆ ด้วยสินเชื่อ ในนิวซาเล็ม รัฐอิลินอยส์ ขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็ว แต่ธุรกิจของลิงคอล์นกลับต้องดิ้นรน และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายหุ้นส่วนที่ตนถือ ในเดือนมีนาคมนั้นเอง ลิงคอล์นก็เริ่มอาชีพทางการเมือง

การเมืองพรรคริพับลิกันระหว่าง 1854-1860

การเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1860

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บิวแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบิวแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี เดร็ด สก๊อต ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบิวแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี[19] เพื่อให้ศาลสามารถออกคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางได้อย่างเด็ดขาด ในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การเข้ากดดันตุลาการในคดี เดร็ด สก็อตต์ ของ ปธน. บิวแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรคริพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม 1858[20] และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ 1860

ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต

"เดอะเรลแคนดีเดต" เป็นนโยบายที่ประกาศว่าจะยกเลิกทาสในสหรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของลิงคอล์น ที่ถูกยกให้เป็นประเด็นสำคัญในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1860 ของพรรคริพับลิกันซึ่งนำโดยเอบราแฮม ลิงคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครตเอง โดยช่วงปลายเดือนเมษายน 1860 พรรคเดโมแครตมารวมตัวประชุมที่ เมืองชาลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะนั้น ชาลส์ตัน เป็นเมืองที่แตกแยกทางความคิดมาก มีนักปราศัยเรียกร้องการแยกตัวจากสหภาพ (ซึ่งเรียกว่า พวกกินไฟ หรือ fire-eaters) เดินอยู่เต็มถนน และเปิดฉากล้อเลียน สว. สตีเฟน เอ. ดักลัส กับผู้สนับสนุนชาวเหนือของดักลัสอยู่เนือง ๆ [21] แม้ในระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตเอง ก็แตกกันออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยตัวแทนพรรคฝ่ายใต้ สนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส (slave codes) ในทุกพื้นที่ของสหรัฐ ในขณะที่สมาชิกพรรคจากทางเหนือคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียสติ เพราะมีแต่จะทำให้เสียเสียงสนับสนุนในรัฐทางเหนือ

สว.สตีเฟ่น เอ. ดักลัส จากอิลินอยส์
จอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ รองปธน.สหรัฐ (1857-1861) และผู้ลงสมัครฯพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้
เอบราแฮม ลิงคอล์น
ประธานาธิบดีคนที่ 16 (1861–1865)

เมื่อการประชุมดำเนินต่อไป เสียงส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานสนับสนุน หลักการอำนาจอธิปไตยปวงชนของดักลัส ที่ต้องการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐ ออกเสียงกำหนดกันเอาเองในเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การตัดสินใจนี้ทำให้ตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ พากัน "วอล์กเอ้าท์" จากการประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครต (DNC)[21] หลังจากล้มเหลวในการโหวตเพื่อลงมติถึง 57 ครั้ง การประชุม DNC ก็ถูกเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน 1860 ที่บัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ แต่พวกฝ่ายใต้หัวแข็งกร้าวก็ขัดขวางการลงมติอีก และจบลงที่การเดินออกจากที่ประชุมอีกครั้ง ฝ่ายเดโมแครตที่เหลือจึงเสนอชื่อ สตีเฟน ดักลัส ให้เป็นตัวแทนลงสมัครลงชิงตำแหน่ง ส่วนสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดีเดร็ด สก็อตต์ กลับมาหารือกันใหม่ที่ริชมอนด์ เวอร์จิเนีย แล้วเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้[21]

การหาเสียง

กลางเดือนพฤษภาคม นักการเมืองพรรครีพับลิกันมารวมตัวกันที่ชิคาโก ในตึกการประชุม "The Wigwam" ที่เพิ่งสร้างใหม่ ในขณะนั้นพรรครีพับลิกันมั่นใจแล้วว่าการเลือกตั้งคราวนี้ฝ่ายตนน่าจะชนะ[22] ทางพรรคประชุมและมีมติร่วมกันว่าจะไม่คุกคามสถาบันทาสในภาคใต้ แต่ก็ไม่อยากให้สถาบันทาสขยายตัวต่อไปในดินแดนที่กำลังได้รับการบุกเบิกทางทิศตะวันตก ผู้เสนอชื่อเข้าแข่งขันต่างสนับสนุนนโยบายการขยายตัวของประเทศ โดยสัญญาว่าจะผ่าน Holmstead Act เพื่อสร้างกระท่อมที่อยู่อาศัยให้ฟรี สำหรับผู้ที่จะบุกเบิกไปตั้งถิ่นฐานในทิศตะวันตก และจะให้มีการระดมทุนเพื่อสร้างทางรถไฟข้ามทวีปอเมริกาเหนือด้วย[21]

พรรครีพับลิกันตกลงเลือกลิงคอล์นเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค เพราะเห็นว่าท่านเป็นนักการเมืองสายกลางที่ไม่แข็งกร้าวไปทางใดทางหนึ่ง[23] และน่าจะได้เปรียบในพื้นที่เพนซิลเวเนีย กับรัฐทางมิดเวสต์ ตัวลิงคอล์นเองก็ไม่ใช่นักเลิกทาส (abolitionist) แต่เขาสามารถสะท้อนความรู้สึกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่ชาวรัฐตอนเหนือว่า สถาบันทาสเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพและอนาคตของประเทศ[21]

ผลการเลือกตั้ง 1860
ตามการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง

ในส่วนพรรครัฐธรรมนูญสหภาพ (Constitutional Union Party) นั้นประกอบไปด้วย นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมจากพรรควิกส์ (whigs) เดิม และพวกที่มาจากรัฐ"ชายแดน" (คือ รัฐที่ประกอบเป็นรัฐกันชนตามแนวชายแดนระหว่างฝ่ายหนือและฝ่ายใต้) ที่ต่อต้านการสลายตัวของสหภาพแต่ก็เห็นอกเห็นใจรัฐทาสทางใต้ และเนื่องจากพวกนี้ไม่นิยมพูดถึงประเด็นเรื่องทาส จึงได้รับความนิยมจากผู้อาศัยในรัฐทางใต้บางรัฐ ได้แก่เทนเนสซี, เวอร์จิเนีย, และเคนทักกี นายจอห์น เบลล์ ตัวแทนลงสมัครฯของพรรคจากรัฐเทนเนสซี สัญญาที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ (รวมถึงสิทธิของรัฐที่จะปกครองตนเอง และสิทธิในการถือครองทาสเป็นทรัพย์สิน) และความคงอยู่ของสหภาพ แต่ประชาชนทางเหนือส่วนใหญ่ มองพรรคนี้ว่าเป็นพวก "คนแก่" ที่ไม่ทันกับการเมืองของยุคสมัย[21]

พรรคเดโมแครตมี สว.สตีเฟน เอ. ดักลัส (ผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา) เป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามเดโมแครตฝ่ายเหนือ ดักลัสสนับสนุนแนวคิดว่าด้วยการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน[24] (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ ๆ ของสหรัฐ) ดักลาสเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเตือนถึงภัยของการสูญเสียสหภาพ แต่ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลิงคอล์นไม่ได้ ส่วน เบรกคิริดจ์ ตัวแทนผู้ลงสมัครของเดโมแครตฝ่ายใต้ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนทรยศ" และ เป็นพวก "บ่อนทำลายสหภาพ"[21] จึงมีคะแนนนิยมจำกัดอยู่แต่ในภาคใต้

โดยภาพรวมการเลือกตั้ง 1860 เป็นการแข่งขันที่แยกเป็นสองภาคส่วน ฝ่ายลิงคอล์นนั้น แทบไม่ได้รับความนิยมในทางใต้เลย โดยไม่ชนะในรัฐทางใต้แม้แต่รัฐเดียว นอกจากนี้รัฐจำนวน 10 จาก 15 รัฐทางใต้ไม่ยอมใส่ชื่อลิงคอล์นลงไปในบัตรเลือกตั้งด้วยซ้ำ[25] การหาเสียงของลิงคอล์นจึงเป็นการแสวงหาชัยชนะเด็ดขาดทางเหนือ ซึ่งมีดักลาสเป็นคู่แข่ง ในขณะที่ เบรกคินริดจ์ กับ เบลล์ ก็ไปแบ่งคะแนนเสียงกันทางใต้ ลิงคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40%[26] กลายเป็นผู้สมัครพรรคริพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอบราแฮม_ลิงคอล์น http://history-world.org/pres.pdf http://www.gallup.com/poll/146183/Americans-Say-Re... http://showcase.netins.net/web/creative/lincoln/si... http://www.lincolnportrait.com/physical_man.asp https://archive.org/details/lincoln00davi https://archive.org/details/lincolnreconside00dona... https://www.questia.com/library/117296123/lincoln-... https://archive.org/details/abrahamlincoln00benj https://web.archive.org/web/20170811010704/http://... http://history.house.gov/Institution/Party-Divisio...