ประวัติการใช้งาน ของ เอฟ-15อี_สไตรค์อีเกิล

สหรัฐอเมริกา

ปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์และดีเซิร์ทสตอร์ม

เอฟ-15อีหลายเครื่องจอดอยู่ในขณะปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์

เอฟ-15อีถูกใช้งานเมื่ออิรักบุกเข้าคูเวตในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 ฝูงบินรบที่ 335 "ชิฟส์" และฝูงบินรบที่ 336 "ร็อกเกทเทียร์ส" ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำกรับการเคลื่อนพลหนึ่งสัปดาห์หลังจากการเข้าบุก ฝูงบินรบที่ 336 เริ่มเที่ยวบินของพวกเขาไปที่ฐานทัพอากาศซีบในโอมาน ถึงแม้ว่าภารกิจจะพร้อมแต่เอฟ-15อีก็ยังไม่สามารถบรรทุกอาวุธที่จำเป็นเพื่อตอบโต้กับการโจมตีของอิรักที่อาจเกิดขึ้นในซาอุดิอาระเบีย พวกมันสามารถบรรทุกได้แค่เพียงระเบิกมาร์ค 84 และมาร์ค 82 เท่านั้น ระเบิดแบบกลุ่มเป็นอาวุธประจำเมื่อโจมตียานพาหนะและทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้รับการทดสอบอย่างเต็มที่ ในช่วงการฝึกในโอมานเอฟ-15อีหนึ่งลำของฝูงบินที่ 336 ตกในวันที่ 30 กันยายนในการต่อสู้จำลองกับจากัวร์ จีอาร์1 ของกองทัพอากาศส่งผลให้นักบินและผู้ควบคุมอาวุธเสียชีวิต ในเดือนธันวาคมเอฟ-15อีสองฝูงบินถูกย้ายเข้าใกล้อิรักและถูกใช้งานที่ฐานทัพอากาศอัลคาจในซาอุดิอาระเบีย

ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 เอฟ-15อีจำนวน 24 ลำได้โจมตีที่ตั้งของขีปนาวุธสกั๊ดห้าแห่งในทางตะวันตกของอิรักและทำภารกิจจัดการที่ตั้งสกั๊ดยังคงดำเนินไปตลอดคืนด้วยการโจมตีระลอกที่สองที่ประกอบด้วยเอฟ-15อีจำนวน 24 ลำในสงครามเอฟ-15อีได้บินภารกิจล่าในตอนกลางคืนเหนืออิรักตะวนตกโดยตามหาเครื่องยิงสกั๊ดเคลื่อนที่ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องยิงสกั๊ดดังกล่าวนั้นหายากมาก หากเครื่องอี-8 จอย์นท์สตาร์สหาเป้าหมายพบสกั๊ดดัวกล่าวก็อาจถูกทำลายจนหมดเมื่อเอฟ-15อีมาถึง ด้วยการทิ้งระเบิดแบบสุ่มในบริเวณต้องสงสัยเอฟ-15อีก็หวังว่ามันจะสามารถขัดขวางทหารอิรักที่องหาจุดยิงได้

ในวันแรกของสงครามกลุ่มของสไตรค์อีเกิลถูกไล่ล่าโดยมิก-23จำนวน 3 ลำและมิก-29จำนวน 2 ลำและมีโอกาสสองครั้งสำหรับเอฟ-15อีที่จะทำแต้มด้วยการสังหารข้าศึก เอฟ-15อีหนึ่งลำไล่ล่ามิก-92 และพยายามเข้าปะทะแต่ก็ยากที่จะจับเป้าความร้อนจากมิก-29 เพื่อทำการยิงเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ ขีปนาวุธถูกยิงในที่สุดแต่ก็พลาดเป้า ในเวลาเดียวกับเอฟ-15อีหลายลำพยายามเข้าปะทะมิก-29 ลำหนึ่งแต่ความผิดพลาดและโชคร้ายทำให้พวกเขาพลาดอีกครั้ง เอฟ-15อีลำหนึ่งบินผ่านเจ็ทของอิรักและเข้าโจมตีแต่นักบินก็ลังเลที่จะยิงเพราะเขาไม่รู้ว่าลูกหมู่ของเขาอยู่ที่ไหนและเขาก็หาตำแหน่งสำหรับขีปนาวุธไซด์ไวน์เดอร์ไม่ได้ ไม่นานหลังจากนั้นขีปนาวุธไร้ที่มาถูกปล่อยในบริเวณและไม่นานหลังจากนั้นมิกก็ตกลงสู่พื้นเมื่อนักบินอิรักเข้าปะทะกับเอฟ-15อี มิก-29 อีกลำถูกยิงตกโดยลูกหมู่ของตัวเองและเอฟ-15อีถูกเข้าใกล้โดยมิก-29 อีกลำแต่นักบินเลือกที่จะไม่เข้าปะทะเมื่อเอฟ-14 ทอมแคทของกองทัพเรือกำลังเข้ามาร่วม[10][11]

ในคืนของวันที่ 18 มกราคมในขณะการโจมตีพีโทรลออยล์และโรงงานลูบริแคนท์ใกล้กับบาสราห์ เอฟ-15อีหนึ่งลำถูกยิงตกและนักบินทั้งสองเสียชีวิต ลูกเรือเอฟ-15อีบรรยายภารกิจนี้ว่าเป็นภารกิจที่ยากและอันตรายที่สุดในสงครามเพราะมันถูกป้องกันด้วยเอสเอ-3 เอสเอ-6 เอสเอ-8 และโรแลนด์เช่นเดียวกับป้อมต่อต้านอากาศยาน สองคืนต่อมาเอฟ-15เอสลำที่สองและลำสุดท้ายถูกยิงตกโดยเอสเอ-2 ของอิรัก ลูกเรือรอดชีวิตและสามารถหลบหนีการจับกุมได้หลายวันและพบกับอากาศยานของรัฐบาลร่วมสองลำ แต่ทีมกู้ภัยก็ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้เนื่องจากนักบินคนหนึ่งไม่สามารถระบุตัวได้ทางวิทยุ นักบินทั้งสองถูกจับโดยอิรักในเวลาต่อมา[12].

ถึงแม้ว่าเหยื่อของเอฟ-15อีจะหลุดมือไป สไตรค์อีเกิลสี่ลำก็ได้ทำลายเจ็ทของอิรัก 18 ลำที่ทัลลิล แต่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์โชคของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเอฟ-15ลำหนึ่งทำแต้มแรกด้วยการสังหารฆ่าศึกทางอากาศสู่อากาศโดยเหยื่อคือเอ็มไอแอล เอ็มไอ-24 การโจมตีเกิดขึ้นจากการขอความช่วยเหลือจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐฯ เมื่อเฮลิคอปเตอร์ห้าลำของอิรักปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าฝูงเอฟ-15อีได้เป้าของเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังปล่อยทหาอิรักจึงยิงจีบียู 10 หลังจากนั้น 30 วินาทีลูกเรือของเอฟ-15อีก็คิดว่าระเบิดพลาดเป้าและนักบินก็กำลังใช้ไซด์ไวน์เดอร์แทน แต่ทันใดนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ก็กลายเป็นไอ หน่วยปฏิบัติการพิเศษคาดว่าเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวอยู่สูง 800 ฟุตในตอนที่ระเบิดขนาด 910 กิโลกรัมพุ่งชนมัน[13] แต่การสังหารจากอากาศสู่อากาศยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2544 พวกเขาพยายามที่จะโจมตีเฮลิคอปเตอร์ลำอื่นๆ แต่การทิ้งระเบิดของพันธมิตรก็เริ่มขึ้นรอบเอฟ-15อีดังนั้นนักบินจึงต้องตัดสินใจที่จะออกมาจากบริเวณดังกล่าว[10]

เอฟ-15อีขึ้นเครื่องจากฐานทัพ

เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลยังคงตามล่าขีปนาวุธสกั๊ดต่อในช่วงสงครามและเข้าโจมตีเป้าหมายที่ป้องกันแน่นหนาในอิรัก พวกมันยังมีภารกิจลับที่พยายามสังหารซัดดัม ฮุสเซนโดยทิ้งระเบิดใส่สถานที่ที่เชื่อว่าประธานาธิบดีของอิรักหลบซ่อนแต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อสงครามทางพื้นดินเข้าใกล้ขึ้นเอฟ-15อีเริ่มโจมตีรถถังของอิรักและยานเกราะบรรทุกทหารในคูเวต

หลังจาก 42 วันที่ทรหดของเอฟ-15อีการหยุดยิงก็เกิดขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 เขตห้ามบินทางตอนเหนือและตอนใต้ของอิรักถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินของอิรักคุกคามรัฐบาลร่วม ถึงกระนั้นเฮลิคอปเตอร์ของอิรักก็เข้าโจมตีค่ายอพยพเคอร์ดิชในทางตอนเหนือของอิรัก เอฟ-15อีที่ดูแลเขตห้ามบินมองดูอย่างช่วยเหลือไม่ได้เมื่อพลเมือง 600 คนในหมู่บ้านชามชามัลถูกโจมตีโดยเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากว่าเอฟ-15อีไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการยิงพวกเขาจึงต้องบินด้วยความเร็วสูงเข้าใกล้เฮลิคอปเตอร์โดยหวังว่าแรงลมจะทำให้ใบพัดของพวกมันขัดข้อง พวกเขายังยิงเลเซอร์เข้าใส่ห้องนักบินของอิรักโดยจะทำให้นักบินตาบอด เทคนิคดังกล่าวไม่ได้ผลแต่เทคนิคแรกได้ทำให้เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งตก ไม่นานผู้นำของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ตระหนักถึงกิจกรรมเหล่านี้และสั่งให้เอฟ-15อีห้ามบินต่ำกว่า 10,000 ฟุต เอฟ-15อีให้การสนับสนุนในปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ทและปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ท 2 [14]

ปฏิบัติการเซาท์เธิร์นวอชท์และนอทเธิร์นวอชท์

เอฟ-15อีเหนืออิรักในปีพ.ศ. 2542 ในปฏิบัติการนอทเธิร์นวอชท์

หลังจากเขตห้ามบินสองแห่งในดีเซิร์ทสตอร์มถูกสร้างขึ้นเหนืออิรักและถูกดูแลโดยอากาศยานของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเป็นหลัก เอฟ-15อีจากฝูงบินรบที่ 494 "แบล็คแพนเธอร์" วางพลในตุรกีในพ.ศ. 2536 และ 253 ฝูงบินรบที่ 492 "แมดแฮทเทอร์" วางพลในพ.ศ. 2538 2539 และ 2540 เอฟ-15อีได้ทำการรบในทศวรรษถัดไปหลังจากนี้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2536 กำลังขนาดเล็กโจมตีเป้าหมายอิรักซึ่งได้ละเมิดกฎการหยุดยิง ไม่กี่วันต่อมาเอฟ-15อีจำนวนสิบลำได้มีส่วนร่วมในการโจมตีอีกครั้ง[15] ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการสนับสนุนปฏิบัติการทั้งสองเพื่อป้องกัน เนื่องมาจากสไตรค์อีเกิลสามารถบรรทุกอาวุธได้หลากหลายเข้าทำภารกิจมันจึงทำให้ลูกเรือเอฟ-15อีมีความยืดหยุ่น เอฟ-15อีทำงานภายใต้การควบคุมของเอแวคส์ (AWACS) และลูกเรือสามารถรับภารกิจทางอากาศและบินอย่างไร้แผนเพื่อเข้าโจมตีเป้าหมายอิรัก

อีกสามปีถัดมาความรุนแรงในเขตห้ามบินก็ลดลงเมื่อกองกำลังอิรักเริ่มถอนตัวและในปีพ.ศ. 2540 ตุรกีได้ตกลงร่วมปฏิบัติการนอทเธิร์นวอชท์และอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพได้ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 ปฏิบัติการดีเซิร์มฟอกซ์ถูกตั้งขึ้นเมื่ออิรักปฏิเสธนโยบายลดการผลิตอาวุธ

ในวันที่ 28 ธันวาคมเอฟ-15อีสามลำแต่ละลำทิ้งระเบิดจีบียู-12 สองลำยิงถูกฐานเรดาร์ของเอสเอ-3 เอฟ-15อีลำอื่นทิ้งระเบิดลูกหนึ่งถูกที่ตั้งบัญชาการขีปนาวุธเอสเอ-3 และลำลำอื่นก็ถูกเป้าเช่นเดียวกัน เอฟ-15อีลำอื่นในหมู่บินสี่ลำไม่ได้ทิ้งระเบิดใดๆ เนื่องจากไม่ได้การระบุตำแหน่งของเป้าหมายที่ชัดเจน

หลังจากดีเซิร์ทฟอกซ์อิรักได้รุกล้ำเขตห้ามบินและเอฟ-15อีก็ถูกมอบหมายให้ตอบโต้ เพียงแค่ในปฏิบัติการนอทเธิร์นวอชท์อาวุธถูกใช้อย่างมาก ในวันที่ 24 มกราคมและ 26 มกราคม พ.ศ. 2542 เอฟ-15อีใช้เอจีเอ็ม-130และจีบียู-15 เพื่อจัดการกับฐานยิงขีปนาวุธแซมในทางเหนือของอิรัก [16]

เอฟ-15อีเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ได้รับงานยากที่สุดในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนใหญ่แล้วเนื่องมาจากจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับเอฟ-16 เอฟ-15อีมักโจมตีฐานเก็บยุทธภัณฑ์ ที่ควบคุมและบัญชาการ และอาวุธต่อต้านอากาศยาน เอฟ-15อียังเข้ารบในการลาดตระเวนเหนืออิรักและยังทำงานร่วมกับเครื่องบินอื่นๆ อย่างเอฟ-15 เอฟ/เอ-18 และอีเอ-6บี โพรว์เลอร์ของกองทัพเรือเช่นเดียวกับเอฟ-16 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ


ปฏิบัติการดีนายไฟลท์และปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซ

เอฟ-15อี ไสตรค์อีเกิลนำเครื่องขึ้นจากฐานทัพอากาศเอเวียโน่ในอิตาลีเพื่อทำการสนับสนุนปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซของนาโต้ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2542

ปฏิบัติการดีนายไฟลท์ (Operation Deny Flight) เป็นการบังคับใช้เขตห้ามบินของสหประชาชาติเหนือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเมื่อสถานการณ์ในบอลข่านเลวร้ายลงในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2536 หลังจากที่สภาความปลอดภัยของยูเอ็นได้ลงมติห้ามทั้งเครื่องบินและเครื่องบินปีกหมุนเข้ามาในเขตดังกล่าวนอกเสียจากได้รับการอนุญาตโดยยูเอ็น เอฟ-15อีจากฝูงบินรบที่ 492 และ 494 วางพลที่เอเวียโน่ในอิตาลี ในปลายปีพ.ศ. 2536 สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงและนาโต้ได้สั่งการเอฟ-15อีเข้าโจมตีเซอร์เบียโดยมีเป้าหมายเป็นสนามบินอับดิน่าในโครเอเทีย เอฟ-15อีจำนวนแปดลำติดอาวุธเป็นจีบียู-12 ได้เข้าโจมตีเอสเอ-6 ภารกิจถูกยกเลิกกลางคันเมื่อเอฟ-15อีไม่สามารถทำการโจมตีได้เนื่องมาจากความเข้มงวดของกฎในการเข้าปะทะ[17] ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นเอฟ-15อีถูกส่งไปทำลายที่ตั้งของเอสเอ-2 สองแห่งซึ่งได้เปิดฉากยิงใส่ซีแฮร์ริเออร์ของกองทัพเรือ[18] ภารกิจส่วนใหญ่ของเอฟ-15อีเป็นการเข้าโจมตีแนวหลังข้าศึกโดยห้ามมีการต่อสู้แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องทำการยิง ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2538 ฝูงบินรบที่ 90 ได้เข้าร่วมกับฝูงบินเอฟ-15อีอื่นๆ อีกสองสองฝูงบิน ฝูงบินรบที่ 492 และ 494 ทำการบินเช่นนี้กว่า 2,500 ครั้งตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการดีนายไฟลท์ และ 2,000 ครั้งเป็นของฝูงบินรบที่ 492 เนื่องมาจากพวกเขาถูกวางพลนานกว่าฝูงบินที่ 494 ในวันที่ 30 และ 31 สิงหาคม เอฟ-15อีได้เข้าโจมตียานเกราะและเสบียงของเซอร์เบียรอบๆ ซาราเจโวด้วยจีบียู-10 และจีบียู-12 ในวันที่ 5 กันยายนมีการทิ้งจีบียู-12 เพิ่มและสี่วันหลังจากนั้นจีบียู-15 ถูกทิ้งเป็นครั้งแรกของเอฟ-15อีและในที่สุดก็มีอีก 9 ลูกถูกทิ้งลงใส่เป้าหมายป้องกันทางอากาศและกองกำลังบอสเนียน-เซิร์บรอบๆ บันจา ลูคา[18]

ในพ.ศ. 2542 ปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซ (Operation Allied Force) ถูกเริ่มขึ้นหลังจากการย้ายออกของโคโซวาร์ หลังจากที่รัฐบาลเซอร์เบียปฏิเสธคำเตือนสุดท้ายของนาโต้ปฏิบัติการดังกล่าวก็เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2542 เอฟ-15อีจำนวน 26 ลำจากฝูงบินรบที่ 492 และ 494 มุ่งเน้นไปที่การโจมตีครั้งแรกในสงครามต่อกรกับที่ตั้งขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ ป้อมปืนต่อต้านอากาศยาน และสถานีเรดาร์เตือนภัยของเซิร์บ[19] สไตรค์อีเกิลเหล่านี้วางพลที่เอเวียโน่เช่นเดียวกับที่ลาเคนฮีธในสหราชอาณาจักร มีเพียงสไตรค์อีเกิลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เท่านั้นที่ทำภารกิจสนับสนุนระยะใกล้ซึ่งเป็นความคิดใหม่ในปลายปีพ.ศ. 2533 แต่ปัจจุบันถูกนำไปใช้ในทั้งกองกำลังทางอากาศ (เอฟ-15อี เอฟ-16 และเอ-10)[20]ภารกิจส่วนใหญ่จะกินเวลา 7.5 ชั่วโมงและรวมทั้งการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศสองครั้ง และเอฟ-15อีจะทำภารกิจผสมระหว่างอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้นดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบินทั้งการลาดตระเวนทางอากาศและจากนั้นก็ทำการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายก่อนที่จะบินกลับฐาน[20]

ภัยที่ร้ายแรงที่สุดต่ออากาศยานพันธมิตรก็คือรถยิงขีปนาวุธแซม ลูกเรือเอฟ-15อีจะระวังต่อภัยคุกคามนี้อย่างมากเนื่องจากในอดีตมีอากาศยานมากมายถูกยิงตกเพราะมันและที่ดังที่สุดก็คือเครื่องเอฟ-117 ไนท์ฮอว์คที่ถูกยิงตกในสงคราม เมื่อภัยคุกคามมีมากขึ้นหรืออาวุธพิเศษเป็นที่ต้องการ เอจีเอ็ม-130 ก็ถูกใช้เพื่อทำลายเป้าหมายจากระยะปลอดภัย[21] มันถูกใช้เพื่อจัดการมิก-29 สองลำที่จอดอยู่อย่างได้ผล เอจีเอ็ม-130 เป็นอาวุธที่แพงอย่างมากและถูกใช้ต่อเป้าหมายพิเศษหรือเมื่อลูกเรือต้องการควบคุมอาวุธของพวกเขาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น ผู้ควบคุมอาวุธสามารถนำทางอาวุธเข้าสู่เป้าหมายหรือแม้กระทั่งยกเลิกและเปลี่ยนทางให้มันตกห่างจากผู้คนหากเป้าหมายนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณชุมชนมากเกินไป ลูกเรือของนาโต้ถูกห้ามยิงใส่สิ่งก่อสร้างดังกล่าว เอฟ-15อีลำหนึ่งที่ติดอาวุธเป็นเอจีเอ็ม-130 ได้ทำลายสะพานก่อนที่รถไฟขนส่งผู้โดยสารจะผ่านเข้ามา มันส่งผลให้พลเมืองเสียชีวิต 14 ราย ในเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2542 ซโลโบดัน มิโลเซวิคได้สั่งถอนกำลังออกจากคอซอวอ

ปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม

เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลบินเหนืออัฟกานิสถานในการสนับสนุนปฏิบัติการเมาท์เท่นไลออนในปี 2549

หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนฝูงบินรบที่ 391 "เดอะโบลด์ไทเกอร์ส" ได้ออกจากฐานทัพอากาศอาเมด อัล วาเยอร์ในคูเวต 31 วันก่อนหน้า หน่วยดังกล่าวได้ถูกวางกำหนดการให้เข้าร่วมปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์แต่ตอนนี้กำลังเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม (Operation Enduring Freedom) ในช่วงการโจมตีแรกเอฟ-15อีพบกับกองกำลังต่อต้านเล็กน้อย เสบียงของกลุ่มตาลิบัน ฐานฝึกและถ้ำของกลุ่มอัลกออิดะห์เป็นเป้าหมายหลัก ทั้งเอจีเอ็ม-130 และจีบียู-15ถูกนำมาใช้และนี่เป็นประสบการณ์รบครั้งแรกของจีบียู-15[22] จีบียู-24 และจีบียู-28 ถูกใช้จัดการเป้าหมายที่แน่นหนา ศูนย์บัญชาการ และทางเข้าถ้ำ เอฟ-15อีมักจะทำงานคู่กับเอฟ-16ซี ภายในไม่กี่สัปดาห์เป้าหมายเกือบทั้งหมดถูกทำลายและมันเริ่มยากที่จะหาเป้าหมายที่มีค่า ตาลิบันใช้ขีปนาวุธเคลื่อนย้ายได้แบบเอสเอ-7 และเอฟไอเอ็ม-92 สติงเกอร์ซึ่งดูเหมือนไม่อันตรายต่ออากาศยานของสหรัฐฯ ตราบใดที่พวกเขาบินสูงกว่า 7,000 ฟุตและที่ตั้งของขีปนาวุธแซมที่อยู่ใกล้เมืองอย่างมาซาร์ ไอ ชาริฟและบาแกรมก็ถูกทำลายไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงมีความอันตรายน้อยมาก[23]

ภายในสามสัปดาห์อากาศยานเริ่มบินภารกินสนับสนุนให้กับกองกำลังภาคพื้นดินที่ซึ่งเอฟ-15อีมักใช้ระเบิดเอ็มเค-81และจีบียู-12 แต่ก็ยังมีอาวุธแบบอื่นร่วมด้วย[23] เป้าหมายที่ตกเป็นเป้าบ่อยที่สุดในช่วงท้ายสงครามก็คือผู้คน ยานพาหนะและขบวนรถ และไม่ใช่ว่ามีเพียงระบบเบิดเท่านั้นที่ถูกใช้ เอฟ-15อียังใช้ปืนกลในหลายครั้งเช่นกัน[24] ในช่วงสามเดือนในปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม ลูกเรือสี่นายของฝูงบินรบที่ 391 ได้ทำการบินที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ มันกินเวลา 15.5 ชั่วโมงและ 9 ชั่วโมงใช้ไปกับบริเวณเป้าหมาย เอฟ-15อีสองลำเข้าโจมตีศูนย์บัญชาการของตาลิบันสองแห่ง อาคารสองแห่งที่คาดว่าเป็นที่หลบภัยของนักรบตาลิบัน และที่กั้นถนนของตาลิบัน เอฟ-15อีเติมเชื้อเพลิง 12 ครั้งในภารกิจครั้งนี้[25] ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2546 ฝูงบินรบที่ 391ถูกส่งกลับบ้านและฝูงบินรบที่ 335 เข้าทำหน้าที่แทน ฝูงบินรบที่ 391 ยังทำการบินเข้าเขตศัตรูแปดครั้งต่อวันในช่วงที่พวกเขาวางพล ฝูงบินรบที่ 391 โดดเด่นด้วยการใช้บีแอลยู-118/บีเป็นครั้งแรกในการต่อสู้ มันถูกใช้เพื่อจัดการกับนักรบตาลิบันที่ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์

เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลจากฝูงบินรบที่ 391 ที่ฐานบินบาแกรมในอัฟกานิสถานกำลังปล่อยเป้าล่อความร้อนในขณะทำภารกิจสนับสนุนเหนืออัฟกานิสถานในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความโดดเด่นอื่นนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคมเมื่อกลุ่มของเอฟ-15อีเข้าสนับสนุนในยุทธการเทือกเขาโรเบิร์ต เอฟ-15อีทำการบินครั้งแรกในภารกิจเข้าสนับสนุนระยะใกล้สำหรับ"เท็กซัส 14" โดยทำลายจุดสังเกตการณ์ของตาลิบัน 16 นาทีต่อมา"มาโค 30" ตกอยู่ภายใต้การยิงของปืนครกและเอฟ-15อีมุ่งเข้าตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็พบว่าทหารที่ทำการติดต่อกับเอฟ-15อีนั้นไม่ใช้ผู้ควบคุมทางอากาศแต่เป็นนาวี ซีล และทีมกำลังค้นหาเอ็มเอช-47อี ชินุกที่ถูกซุ่มโจมตีในหุบเขาซาอาห์ ไอ คอท[26] อย่างไรก็ตามเอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดจีบียู-12 แต่หน่วยซีลก็ยังคงถูกยิงเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกทำให้สองนายบาดเจ็บและหนึ่งนายเสียชีวิต ระเบิดลูกที่สองถูกทิ้งแต่เนื่องมาจากพิกัดที่ผิดพลาดทำให้ระเบิดพลาดเป้า[26] ในขณะทำการสนับสนุนทีมซีลเอ็มเอช-47 ลำหนึ่งที่บรรทุกทีมช่วยเหลือถูกยิกตกโดยอาร์พีจี[27]

ตลอดทั้งหมดนี้เอฟ-15อีเพียงเพิ่งเติมเชื้อเพลิงเสร็จและถูกมอบหมายให้ทำงานกับ"เท็กซัส 14" ทีมที่สามบนเทือกเขา เอฟ-15อีทิ้งระเบิดจีบียู-12 ไปสิบเอ็ดลูกเพื่อช่วยเหลือกองกำลังภาคพื้น ไม่นานเอฟ-15อีได้ทำการสนับสนุนผู้รอดชีวิตจากเอ็มเอช-47 ที่ถูกยิงตกซึ่งพบศัตรูหากไป 75 เมตรจากตำแหน่งของพวกเขา สไตรค์อีเกิลไม่สามารถใช้ระเบิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ปืน พวกเขาใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ตกเป็นจุดอ้างอิงและเริ่มทำการยิง[27] สไตรค์อีเกิลลำหนึ่งต้องกลับไปเติมเชื้อเพลิงและเอฟ-15อีเพียงลำเดียวคุยกับเอแวกส์ (AWACS) เพื่อเรียกให้อากาศยานลำอื่นเข้ามาทำการยิงในตำแหน่งดังกล่าว กลุ่มของเอฟ-16 จากฝูงบินรบที่ 18 มาถึงและทำหน้าที่ ไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจว่าต้องทิ้งระเบิดเนื่องจากทั้งสไตรค์อีเกิลและฟอลคอนหมดกระสุน เอฟ-15อีได้รับคำสั่งให้กลับฐานโดยเอแวกส์แต่พวกเขาสามารถสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นและกลับฐานทันทีหลังจากนั้น หลังจากที่มีปัญหากับวิทยุและอาวุธที่ไม่สามารถทำการทิ้งระเบิดได้ เอฟ-15อีก็ทำการทิ้งจีบียู-12 หนึ่งลูกและขออนุญาตทิ้งระเบิดที่เหลือแต่ก็ถูกสั่งให้บินกลับอัล จาเบอร์ในคูเวต[28]

ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เอฟ-15อีหนึ่งลำที่ถูกเรียกให้ทำการสนับสนุนระบะใกล้ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาจากิในอัฟกานิสถานได้ทิ้งระเบิดผิดใส่กองกำลังของอังกฤษและสังหารพลทหารไปสามนาย[29]

ปฏิบัติการปลดปล่อยอิรัก

เส้นลมวนที่ปลายปีของเอฟ-15อีสามารถมองเห็นได้ในขณะผละจากการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศในปฏิบัติการปลดปล่อยอิรัก

ในปลายปีพ.ศ. 2545 ความตึงเครียดในอาวุธของอิรักเพื่อขึ้นและไม่นานกลุ่มบินที่ 4 ที่ฐานทัพอากาศเซร์เมอร์ จอห์นสันในนอร์ทแคโรไลนาก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมเอฟ-15อีอย่างน้อยหนึ่งฝูงบินให้พร้อมในการเข้าวางพลในอ่าวเปอร์เซีย ฝูงบินรบที่ 336 ถูกเลือกให้วางพลครั้งแรกที่ฐานบินอัล ยูดีอิดในกาต้า ในระหว่างวันที่ 11 มกราคมและ 17 มกราคมอากาศยานจำนวน 24 ลำถูกวางพลและการเตรียมพร้อมก็เริ่มขึ้นซึ่งมีการร่วมจากฝ่ายซาอุดิอาระเบีย ฝูงบินรบที่ 336 ยังไม่ขึ้นบินจนกระทั่งวันที่ 27 มกราคมเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ และกาต้าสรุปปัญหาทางการเมืองและอนุญาตให้ทำการบินได้ในที่สุด[30] เอฟ-15อีเริ่มทำการบินในการเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจตราและสอดแนมเช่นเดียวกับภารกิจ"สไตรค์แฟมิเลียไรซ์เซชั่น" (Strike Familiarization) ซึ่งโดยพื้นฐานหมายถึงลูกเรือจะบินภารกิจจำลองพร้อมกับเป้าหมายที่เป็นไปได้ในอิรัก และหากจำเป็นพวกเขาก็สามารถเข้าโจมตีได้พร้อมกับทำตามกฎของการเข้าปะทะ ทำงานร่วมกับเอแวกส์ และทำการบินเหนือเขตของศัตรู[30] ในปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์เอฟ-15อีได้เข้าโจมตีเป้าหมายส่วนใหญ่ในทางตอนใต้และตะวันตกของอิรัก เรดาร์ สถานีวิทยุ ที่ตั้งเครื่องมือสื่อสาร เป้าหมายที่เป็นผู้นำ และตำแหน่งป้องกันทางอากาศ ในคืนหนึ่งเอฟ-15อีจำนวนสี่ลำได้ทิ้งระเบิดจีบียู-24 ใส่ศูนย์บัญชาการของริพับลิกันการ์ดในบาสราห์ในขณะที่ฝูงบินสี่ลำอีกเที่ยวบินหนึ่งได้เข้ากวาดล้างฐานป้องกันทางอากาศอีกแห่งด้วยจีบียู-10O[31]

มุมมองด้านหลังของเอฟ-15อี

เมื่อสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ฝูงบินรบที่ 336 ได้รับลูกเรือเพิ่มซึ่งประกอบด้วยนักบินและผู้ควบคุมอาวุธ 150 นาย พวกเขาหลายคนถูกเกณฑ์มาจากฝูงบินที่ไม่ได้วางพลในเซย์เมอร์ จอห์นสันและฝูงบินรบที่ 391 นั่นแปลว่าเอฟ-15อีหนึ่งลำมีลูกเรือประจำสี่นาย[31] ในต้นเดือนมีนาคมทหารและอากาศยานจากฝูงบินรบที่ 335 ถูกวางพลและเข้าร่วมกับฝูงบินรบที่ 336 ที่อัล ยูดีอิด เป้าหมายหนึ่งในตอนสิ้นสุดของปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์คือการเข้าจัดการการป้องกันทางอากาศและเรดาร์เตือนภัยของอิรักที่อยู่ใกล้กับชายแดนจอร์แดนเพื่อให้เอฟ-16 และเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษสามารถเข้าปฏิบัติการในจอร์แดนได้เลยเมื่อสงครามเริ่มต้น ที่มั่นของเรดาร์และสถานีวิทยุมากมายถูกโจมตีในทางตะวันตกของอิรักใกล้กับสนามบิน"เอช3" ในช่วงปฏิบัติภารกิจเหล่านี้เจ็ทของรัฐบาลร่วมต้องเจอกับปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานขนาดหนัก[32]

วันเวลาที่แน่นอนในการเริ่มสงครามของเอฟ-15อีนั้นไม่ทราบแน่ชัดเนื่องจากความเข้มงวดของกฎของการเข้าปะทะ เมื่อเอฟ-117 ไนท์ฮอว์คได้ทิ้งระเบิดเหนือแบกแดดในวันที่ 19 มีนาคมใส่บ้านที่เชื่อกันว่าซัดดัม ฮุสเซนอาศัยอยู่ เอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดจีบียู-28 รอบๆ สนามบินเอช3 และเอฟ-15อีลำอื่นๆ เข้าโจมตีส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ และเมื่อขีปนาวุธโทมาฮอว์คพุ่งขึ้นสู่ทางเหนือของแบกแดด เอฟ-15อีก็กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่อิรักเพื่อเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ ในัวนที่ 20 มีนาคมเอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดเอจีเอ็มจัดการการสื่อสาร สิ่งก่อสร้างบัญชาการ และเป้าหมายผู้นำในแบกแดดแต่ก็มีส่วนน้อยที่พลาดเป้าหมาย อาวุธถูกเชื่อว่าได้รับผลกระทบจากอีเอ-6บี โพรว์เลอร์ที่ทำการรบกวนสัญญาณในบริเวณใกล้เคียง[33] เอฟ-15อีมักทำงานควบคู่กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ทำหน้าที่ลึกเข้าไปในอิรัก ภารกิจเหล่านี้มีความเฉพาะตัวสูงและมีเพียงนักบินเอฟ-15อีที่ผ่านศึกเท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมในภารกิจเช่นนี้ เอฟ-15อีมักจะบินเป็นวงกลมรอบบริเวณและหน่วยปฏิบัติการพิเศษจะกำกับสไตรค์อีเกิลให้จัดการกับเป้าหมายในบริเวณดังกล่าว ในบางครั้งลูกเรือของเอฟ-15อีจะใช้ปืนยิงกราดใส่เป้าหมายอย่างรถที่ดูเหมือนเป็นภัยต่อหน่วยทีมปฏิบัติการพิเศษเพราะเป้าหมายอาจอยู่ใกล้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเกินไปที่จะใช้ระเบิดได้

เอฟ-15อีของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักในเดือนเมษายนพ.ศ. 2547

ในัวนที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2546 นักบินเอฟ-15อีหนึ่งนายได้ทำผิดพลาดและทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์เข้าใส่ที่ที่เชื่อว่าเป็นฐานขีปนาวุธพื้นสู่อากาศทำให้สังหารจ่าโดนัลด์ โอคส์ จ่าทอดด์ รอบบินส์ และจ่าสิบเอกแรนดัลล์ เอา เรห์นและทำให้ทหารอีกห้านายบาดเจ็บ[34]

ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2546 เอฟ-15อีลำหนึ่งที่บินโดยร้อยเอกเอริก "บูท" ดาสและวิลเลี่ยม "ซอลตี้" วัทกินส์ได้ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายรอบๆ ทิกริทเมื่อพวกเขาตก[35] พวกเขาได้รับเหรียญกล้าหาญในวันก่อนที่จะเสียชีวิตและได้รับเหรียญเพอร์เพิลฮาร์ท[36]

ในสงครามเอฟ-15อีได้รับชื่อเสียงด้วยการทำลาย 60% ของกองกำลังทั้งหมดของอิรักหรือริพับลิกันการ์ด พวกมันยังทำแต้มด้วยมิก 65 ลำที่จอดอยู่บนพื้น[32] และได้ทำลายจุดสำคัญในการป้องกันทางอากาศและสิ่งก่อสร้างการสื่อสารซึ่งเอฟ-15อีได้บินลึกเข้าไปในบริเวณที่มีการป้องกันเป็นอย่างดีของแบกแดด ในสงครามเอฟ-15อีได้ทำงานร่วมกับเจ็ทอื่นๆ ที่วางพลในอัล ยูดีอิดที่รวมทั้งเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทของกองทัพอากาศออสเตรเลีย เอฟ-16 และเอฟ-117 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และเอฟ-14 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ อากาศยานทั้งหมดใช้เอฟ-15อีเพื่อหาและระบุเป้าหมายให้พวกเขา รวมทั้งบี-1 แลนเซอร์ บี-52 เอฟ/เอ-18 เอวี/8บี และเอฟ-14 ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ

ในช่วงกลางพ.ศ. 2546 ฝูงบินรบที่ 335 และ 336 ถูกส่งกลับบ้าน ฝูงบินรบที่ 494 ถูกวางพลที่อัล ยูดีอิดเพื่อใช้สไตรค์อีเกิลต่อไป

ผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สหรัฐฯ

เอฟ-15ไอถูกใช้งานโดยกองทัพอากาศอิสราเอลในฝูงบินหมายเลข 69 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ใช้เอฟ-4แฟนทอม เอฟ-15ไอทำภารกิจต่อสู้ครั้งแรกในเลบานอนเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2542 อากาศยานดังกล่าวได้สามารถบรรทุกขีปนาวุธอินฟราเรดแบบเอไอเอ็ม-9แอลและไพธอน และขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์แบบเอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์และเอไอเอ็ม-120 แอมแรม ขีปนาวุธไพธอนสามารถทำมุมได้ 90 องศาโดยที่นักบินจะใช้หมวกที่สวมอยู่เพื่อทำการเล็ง สำหรับเป้าที่อยู่ไกลเกิน 37 ก.ม.ก็จะใช้ได้ทั้งเอไอเอ็ม-7 หรือเอไอเอ็ม-120

ในพ.ศ. 2542 อิสราเอลได้ประกาศความตั้งใจที่จะเพื่ออากาศยานต่อสู้และเอฟ-15ไอก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตามอาจเป็นไปได้ที่สัญญาจะลงกับเอฟ-16ไอที่เป็นรุ่นใหม่ของไฟท์ติ้งฟอลคอน

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอฟ-15อี_สไตรค์อีเกิล http://www.aeroworldnet.com/1tw05039.htm http://www.amarillo.com/stories/100803/new_dasgive... http://www.boeing.com/defense-space/military/f15/n... http://www.boeing.com/news/releases/2007/q4/071101... http://www.defenseindustrydaily.com/f15ks-first-fl... http://www.flightglobal.com/articles/2005/09/13/20... http://www.flightglobal.com/articles/2007/11/01/21... http://www.geae.com/aboutgeae/presscenter/military... http://news.naver.com/main/read.nhn?mode=LSD&mid=s... http://www.nytimes.com/2005/04/15/national/15frien...