เส้นทางอาชีพนักร้อง ของ เอมี_ไวน์เฮาส์

การเข้าสู่วงการ

เอมีได้กีต้าร์เป็นของตัวเองครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี เธอได้เริ่มแต่งเพลง และทำงานต่างๆ เช่น เป็นนักหนังสือพิมพ์ให้กับ เวิร์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ นิวส์ เน็ตเวิร์ค (World Entertainment News Network) และร้องเพลงในวงดนตรีแจ๊ส เป็นต้น[8] แฟนหนุ่มในขณะนั้นของเธอ ชื่อ ไทเลอร์ เจมส์ ซึ่งเป็นนักร้องเพลงโซลได้ส่งเทปเพลงตัวอย่างของเอมีไปให้ A&R[7] ทำให้เธอได้เซ็นต์สัญญากับ ไอซ์แลนด์ เรคคอร์ด ยูนิเวอร์แซล (Island Records/Universal) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท 19 แมนเนจเมนท์ (19 Management) ของ ไซมอน ฟูลเลอร์ (Simon Fuller) [15] และกับ EMI เอมีได้ร่วมร้องเพลงและออกทัวร์กับ ชาร์รอน โจนส์ กับวงแดป-คิงส์ [16]

ความสำเร็จก้าวแรก

อัลบั้มชุดแรกของเธอคือ Frank วางจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2003 อัลบั้มชุดนี้ควบคุมดูแลโดย ซะลาม เรมิ เพลงส่วนใหญ่จะออกแนวแจ๊ส นอกจากนี้ยังมีเพลงที่เธอนำมาร้องใหม่ 2 เพลง เอมีมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงทุกเพลงในอัลบั้มนี้ เธอได้รับบทวิจารณ์ในแง่ดีอย่างล้นหลาม [17][18] พร้อมทั้งได้รับคำชมเชยมากมายว่า เนื้อเพลงเยี่ยมและน่าจับตามอง [19] และได้มีการเทียบเคียงเสียงร้องของเธอกับ ซาราห์ วอห์น[20] มาซี เกรย์ และนักร้องชื่อดังคนอื่นๆอีกด้วย[19]

อัลบั้ม Frank ติดอันดับต้นๆของ ยูเค อัลบั้มส์ ชาร์ท ในปี ค.ศ. 2004 เมื่ออัลบั้มนี้ได้ถูกเสนอชื่อขึ้นชิงบริทอวอร์ดส ในสาขา British Female Solo Artist และ British Urban Act นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวอีกด้วย[21] ในปีเดียวกันนั้นเอง เธอได้รับ ไอวอร์ โนเวลโล อวอร์ด สาขาเพลงร่วมสมัยยอดเยี่ยม จากซิงเกิลเปิดตัว "Stronger Than Me" คู่กับโปรดิวเซอร์ของเธอ ซะลาม เรมิ[22] ยิ่งไปกว่านั้น อัลบั้ม Frank ยังถูกเสนอชื่อขึ้นชิง เมอร์คิวรี มิวสิก ไพรซ์ อีกด้วย เอมีได้ไปร้องเพลงในเทศกาลเพลงแกลสตันบูรี และ วี เฟสติวอล ด้วย

เอมีกล่าวว่า เธอพอใจกับอัลบั้ม Frank เพียง 80% เท่านั้น เนื่องจากเพลงบางส่วนไม่ใช่ตัวเธอ [7] ในช่วงระหว่างการทำอัลบั้มที่ 2 เธอกล่าวว่า เธอไม่สามารถฟังเพลงในอัลบั้ม Frank ได้อีกต่อไป จริงๆคือเธอไม่เคยฟังมันได้เลย ถึงแม้เธอจะชอบร้องมัน แต่สำหรับการฟังนั้น มันคนละเรื่องเลย [23] เอมียังกล่าวอีกว่า เธอฟังเพลงในอัลบั้ม Frank ได้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ภูมิใจกับมัน เอมีคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบอัลบั้มนี้ แต่เธอต้องทำให้แตกต่างออกไป[24]

ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่

ในอัลบั้มชุดที่ 2 เอมีเปลี่ยนจากแนวแจ๊สในอัลบั้ม Frank มาเป็นแนวของนักร้องวงผู้หญิงในยุค 50และ 60 เอมีกล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นจากอัลบั้ม Frank เธอไม่สามารถแต่งเพลงได้เลยตลอดระยะเวลา 18 เดือน จนกระทั่งเอมีได้พบกับ มาร์ก รอนสัน ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เธอ เธอจึงแต่งเพลงได้ครบทั้งอัลบั้มภายใน 6 เดือน [23] หลังจากซิงเกิล "Fuck Me Pumps" ต้นปีค.ศ. 2006 เพลงจากอัลบั้มที่ 2 ของเอมี ได้แก่ เพลง "Wake Up Alone" และ เพลง "Rehab" ก็ได้กระจายเสียงผ่านทางคลื่นวิทยุ อีสต์ วิลเลจ เรดิโอ ในนิวยอร์ก ในรายการของมาร์ก รอนสัน ต่อมาเพลงทั้งสองนี้ได้ถูกรวมเข้าในอัลบั้มที่ 2 ของเธอด้วย และมีเพลงอื่นๆในอัลบั้มนี้เปิดในวิทยุเช่นเดียวกัน

เพลงตัวอย่าง:

อัลบั้มชุดที่ 2 ของเอมี มีชื่อว่า Back to Black มีจำนวนเพลงทั้งสิ้น 11 เพลง อัลบั้มนี้เริ่มโปรโมทในต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 และวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรวันที่ 30 เดือนเดียวกัน โปรดิวเซอร์อัลบั้มนี้คือ ซะลาม เรมิ และ มาร์ก รอนสัน อัลบั้ม Back to Black ติดอันดับ 1 ของ ยูเค อัลบั้มส์ ชาร์ท เป็นเวลาหลายครั้ง และติดอันดับ 7 ของบิลบอร์ด 200 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้ม Back to Black ขายได้ 5 รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหราชอาณาจักรและไอทูนส์ของสหราชอาณาจักร ประจำปีค.ศ. 2007 ด้วย[25][26]

ปัจจุบันมีซิงเกิลหลายตัวจากอัลบั้ม Back to Black โดยซิงเกิลแรกของอัลบั้มนี้คือ "Rehab" โปรดิวซ์โดย มาร์ก รอนสัน และได้ออกอากาศในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2006[23] ซิงเกิลนี้ติดอันดับสูงสุดอันดับ 7 ของ ยูเค ซิงเกิลส ท็อป 75[27][28] และได้รับไอวอร์ โนเวลโล อวอร์ด สาขาเพลงร่วมสมัยยอดเยี่ยมอีกด้วย[29] หลังจากที่เอมีได้ร้องเพลง "Rehab" ที่งานเอ็มทีวี มูวี่ อวอร์ดส ประจำปีค.ศ. 2007 ซิงเกิล "Rehab" ก็ติดอันดับสูงสุดอันดับ 9 ของ บิลบอร์ด ฮอท 100 ในสัปดาห์ที่ 26 ของปีค.ศ. 2007 (สัปดาห์ของวันที่ 21 มิถุนายน) อย่างรวดเร็ว นิตยสารไทม์ให้ "Rehab" เป็นอันดับ 1 ใน 1 ใน 10 เพลงยอดเยี่ยมประจำปีค.ศ. 2007 นักเขียนคอลัมน์ จอช ทีแรนจีล ได้ยกย่องเอมีเกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองของเธอและให้ความคิดเห็นว่า "จากลักษณะพูดพล่ามที่ติดตลกและยั่วยวน จนอาจถึงขั้นสติแตกนี่เองที่เป็นเสน่ห์ในแบบฉบับของหล่อนที่ยากเกินห้ามใจ และเมื่อได้ผสานกับฝีมือการสร้างชั้นยอดของ มาร์ก รอนสัน ที่ผลิตแต่ผลงานเพลงโซลขั้นเทพมาตลอดสี่ทศวรรษ เชื่อได้เลยว่าคุณจะไม่ผิดหวังที่ได้บทเพลงที่ดีที่สุดของปีค.ศ. 2007 จากเขาและเธอคนนี้"[30]

ซิงเกิลที่สองของอัลบั้ม Back to Black คือ "You Know I'm No Good" วางจำหน่ายในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2007 ในซิงเกิลนี้ประกอบด้วยรีมิกซ์ที่ให้เสียงร้องจังหวะแร็พโดย โกสต์เฟซ คิลลาห์ ซิงเกิล "You Know I'm No Good" ติดอันดับ 18 ของ ยูเค ซิงเกิล ชาร์ท ต่อมาซิงเกิล "Back to Black" ซึ่งมีชื่อเดียวกันกับอัลบั้มก็ได้วางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 และที่สหราชอาณาจักรในวันที่ 30 เมษายน ปีเดียวกัน ซิงเกิล "Back to Black" ติดอันดับสูงสุดอันดับที่ 25 และในวันที่ 5 เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 อัลบั้ม Back to Black แบบพิเศษก็ได้วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในอัลบั้มนี้จะมีแผ่นซีดีเพิ่มอีกหนึ่งแผ่นซึ่งประกอบไปด้วย บี-ซายด์ส (B-sides) เพลงที่หาฟังยาก เพลงที่ร้องสด และอื่นๆ เช่นเพลง "Valerie" ซึ่งดีวีดีการแสดงของเอมี I Told You I Was Trouble: Live in London ก็ได้วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรในวันเดียวกันนั้นด้วย ส่วนในสหรัฐอเมริกาวางจำหน่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ดีวีดีนี้ประกอบด้วยบันทึกการแสดงสดของเธอที่แชพเพิร์ดส บุช เอ็มไพร์ ณ กรุงลอนดอน และสารคดีความยาว 50 นาทีเกี่ยวกับการเข้าสู่วงการของเธอย้อนไป 4 ปี[31] ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2007 ซิงเกิล "Love Is a Losing Game" ซึ่งเป็นซิงเกิลตัวสุดท้ายของอัลบั้ม Back to Black ก็ได้วางจำหน่ายที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา

ด้วยกระแสความดังของอัลบั้ม Back to Black อัลบั้ม Frank จึงถูกนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ติดอันดับ 61 ของบิลบอร์ด 200 ชาร์ท[32] พร้อมได้รับบทวิจารณ์ในแง่ดีอีกเช่นเคย[33][34]

ในส่วนอัลบั้มของเอมีเอง เธอก็ได้ร่วมมือกับศิลปินอื่นๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคือเพลง "Valarie" ของมาร์ก รอนสัน ในอัลบั้มเดี่ยวของเขาชื่อ Version ซึ่งเอมีเป็นผู้ขับร้อง เพลงนี้ออกอากาศในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ติดอันดับสูงสุดอันดับที่ 2 ในสหราชอาณาจักร "Valarie" ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบริท สาขา "Best British Single" ประจำปีค.ศ. 2008[35][36][37] นอกจากนี้เอมียังได้ร่วมงานกับ มิวทยา บูนา อดีตสมาชิกวงชูการ์เบบ ในเพลง "B Boy Baby" ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้มที่สี่ของมิวทยาชื่อ Real Girl[38]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอมี_ไวน์เฮาส์ http://news.ninemsn.com.au/article.aspx?id=269477 http://www.allmusic.com/album/frank-r671986 http://www.ascap.com/eventsawards/awards/ivors/200... http://www.askmen.com/women/singer_300/367_amy_win... http://www.businesswire.com/portal/site/google/ind... http://www.findarticles.com/p/articles/mi_qn4159/i... http://www.google.com/reviews?cid=d83e260924369f43... http://www.hiphop-elements.com/article/read/4/9792... http://www.ilikemusic.com/urban/Amy_Winehouse_I_To... http://www.ilikemusic.com/urban/Mark_Ronson_feat_A...