ชีวิตการเล่นบาสเกตบอล ของ แชคิล_โอนีล

มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเต็ต

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อเล่นที่ไฮสกูล Robert G. Cole Junior-Senior High School ในเมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส และได้เป็นผู้เล่นดีเด่นของโรงเรียนระหว่างเวลาที่เล่นอยู่ที่นั่น เขาเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตต (Louisiana State University, LSU) และจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยศาสตร์ ได้รับตำแหน่ง first team All-American สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีของ Southeastern Conference (SEC) สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีระดับประเทศในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) และเป็นเจ้าของสถิติของระดับมหาวิทยาลัย (NCAA) สำหรับจำนวนบล็อกสูงสุดในหนึ่งเกม ถึง 17 ครั้ง เมื่อแข่งกับมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตต (Mississippi State University) เมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2533

เดล บราวน์ (Dale Brown) โค้ชที่ LSU ในขณะนั้นบอกว่า เขาพบกับแชคครั้งแรกเมื่อไปที่เยอรมนี และเข้าใจผิดว่าแชคเป็นทหารคนหนึ่ง ขณะนั้นเขาอายุเพียง 13 ปี สูงถึง 7 ฟุต แต่หนักเพียง 223 ปอนด์ สามปีผ่านไปแชคตัวสูงขึ้นอีกเพียงหนึ่งนิ้ว แต่มีกล้ามเนื้อเพิ่มถึง 80 ปอนด์

ออร์แลนโด แมจิก

โอนีล ได้รับเลือกเป็นคนแรกของการดราฟในปี พ.ศ. 2535 โดยทีมออร์แลนโด แมจิก เขาเล่นที่นั่นเป็นเวลาสี่ปี โดยมีผลงานที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (รุกกีออฟเดอะเยียร์) หลังจากนั้น เมื่อออร์แลนโด้ได้ตัวการ์ดหน้าใหม่ แอนเฟอร์นี ฮาร์ดอเวย์ (ฉายา "เพนนี") เข้ามาในทีม การประสานงานของแชคกับเพนนี่ช่วยกันสร้างทีมออร์แลนโดจากทีมท้ายตารางกลายมาเป็นทีมที่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้

และในฤดูกาลปี พ.ศ. 2537-38 การเข้ามาเสริมทีมของผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง โฮเรส แกรนท์ ทำให้พวกเขาพาทีมออร์แลนโด เอาชนะชิคาโก บุลส์ อดีตแชมป์ 3 สมัย ที่เพิ่งได้ไมเคิล จอร์แดนกลับมาในปีนั้น 4 ต่อ 2 เกม และได้แชมป์ฝั่งตะวันออกด้วยการเฉือนเอาชนะอินดีอานา เพเซอรส์ 4 ต่อ 3 เกม ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้แชมป์เก่า ฮิวส์ตัน ร็อกเก็ตส์ ที่มี อาคีม โอลาจูวอน กับ ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์ เป็นผู้เล่นหลัก ไป 4 ต่อ 0 เกมรวด ฮิวส์ตัน คว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกัน

ในปีถัดมา (ฤดูกาลปีพ.ศ. 2538-39) ออร์แลนโดยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันออกได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ไม่สามารถต้านทานฟอร์มร้อนแรงของ ไมเคิล จอร์แดน และชิคาโก บุลส์ ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ชนะมากที่สุด 72 ครั้งแพ้ 10 มาจากฤดูกาลปกติได้ โดน ชิคาโก บุลส์ ล้างแค้น 4 เกมต่อ 0 คว้าแชมป์ฝั่งตะวันออกและ ชิคาโก้ ก็เข้าไปเอาชนะซีแอทเทิล ซุปเปอร์โซนิก ในรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอ 4 เกมต่อ 2 คว้าแชมป์สมัยที่ 4 ไปได้สำเร็จ

หลังจากหมดสัญญาจากทีม แชคได้รับข้อเสนอต่อสัญญาจากออร์แลนโดจำนวนเงินถึง 115 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับได้รับการติดต่อจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ แต่สุดท้ายแชคก็ตกลงเซ็นสัญญาไปเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2539

ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์

แชค กำลังจับมือกับ จอร์จ ดับเบิลยู. บุชในโอกาลที่ได้แชมป์เอ็นบีเอปี 2001

หลังจากฤดูกาล 1995-96 ของเอ็นบีเอ (ตรงกับ พ.ศ. 2538-39) โอนีลเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ด้วยสัญญาเจ็ดปีมูลค่าสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เขาและโคบี ไบรอันต์ กลายเป็นคู่การ์ดและเซ็นเตอร์ที่เล่นได้ประสิทธิภาพที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ราบรื่นและเกิดเรื่องผิดใจกันบ่อยครั้ง

อย่างไรก็ตามทั้งคู่ซึ่งคุมทีมโดยโค้ช ฟิล แจ็กสัน ประสบความสำเร็จมากบนสนามแข่งขัน และพาทีมคว้าตำแหน่งชนะเลิศสามปีติดต่อกัน (คือฤดูกาล 1999-2000, 2001-02 และ 2002-03) แชคได้รับการเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (NBA Finals Most Valuable Player) ในรอบสุดท้ายทั้งสามครั้ง เป็นผู้เล่นที่ทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดในตำแหน่งเซ็นเตอร์ในประวัติศาสตร์การแข่งรอบสุดท้าย เขายังได้รับการลงคะแนนให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (NBA Most Valuable Player) ในฤดูกาลปกติของปี 1999-2000 และเกือบได้คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ขาดไปเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น

ต้นฤดูกาล 2003-04 (2546-47) โอนีลประกาศว่าเขาต้องการต่อสัญญา แต่ผู้บริหารทีมลังเลที่จะทำตามข้อเรียกร้องของเขา แม้ว่าเลเกอร์สจะเสนอสัญญาหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 เพื่อให้โอนีลยังคงเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงที่สุดในลีกแต่โอนีลก็ปฏิเสธ

หลังจากเลเกอร์สพ่ายให้กับดีทรอยต์ พิสตันส์ในรอบสุดท้ายของเอ็นบีเอ โอนีล ผิดใจกับคำพูดของผู้จัดการทั่วไปของเลเกอร์ส มิทช์ คุปแชค (Mitch Kupchak) และยังมีเรื่องความขัดแย้งระหว่างแชคกับ โคบี้ ไบรอนท์ ที่ลุมๆดอนๆมาตลอด, โค้ชฟิล แจ็กสันไม่ต่อสัญญากับทีม รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของแชคกับทีมที่ทางเจ้าของทีมไม่ได้ให้ความสนใจ ทำให้โอนีลประกาศว่าเขาต้องการให้เทรด ตัวเขาย้ายออกจากทีม ซึ่งทางเลเกอร์สก็ตกลงเทรดโอนีลไปยังทีมไมอามี ฮีท แลกกับ ลามาร์ โอดอม (Lamar Odom) , ไบรอัน แกรนต์ (Brian Grant) , คารอน บัทเลอร์ (Caron Butler) และสิทธิ์ในการดราฟรอบแรก

ไมอามี ฮีท

แชคได้ถูกเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 การเทรดนี้ถือเป็นการเทรดที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์กีฬา โดยผู้วิเคราะห์ไม่แน่ใจว่าผู้เล่นคนเดียวสามารถแทนที่ผู้เล่นสำคัญหลายคนของไมอามีได้ แต่ว่าทีมฮีทใหม่ที่มีแชคประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมายและทำสถิติดีที่สุดของสายตะวันออกได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขารับบทพระรองให้กับผู้เล่นดาวรุ่งของไมอามี่ ชื่อ ดเวย์น เหวด ในขณะที่คนที่เทรดออกไปกลับไม่สามารถช่วยให้เลเกอร์สเข้ารอบเพลย์ออฟได้ เขาพลาดรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของฤดูกาล 2004-05 โดยแพ้ให้กับ สตีฟ แนช (Steve Nash) ไปเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าแชคจะกะเผลกจากแผลฟกช้ำที่ต้นขา เขาก็ยังนำทีมเข้าถึงรอบชิงของสายตะวันออกและแพ้ให้กับทีมดีทรอยต์ พิสตันส์ในเกม 7 ด้วยคะแนนไม่ห่างมากนัก

สิงหาคม พ.ศ. 2548 โอนีลเซ็นสัญญาต่ออีก 5 ปีกับฮีทด้วยเงิน 100 ล้านเหรียญ นักวิจารณ์ต่างดูแคลนว่าเป็นการจ่ายผู้เล่นอายุมากที่แพงเกินความเป็นจริง แต่ผู้สนับสนุนก็ยกย่องฮีทที่ได้ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอ็นบีเอด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งพอ ๆ กับผู้เล่นบางคนที่มักบาดเจ็บหรือเล่นได้แย่บางคน

จากการเซ็นสัญญานี้ แชคได้กลับคำพูดเดิมที่ว่าไม่ยอมลดค่าตัวของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของทีม ปีพ.ศ. 2548 แชคมีค่าตัว 30 ล้านเหรียญแต่ปีต่อ ๆ ไปจะมีค่าตัวลดลงถึง 10 ล้านเหรียญเพื่อช่วยให้ฮีทสามารถได้ผู้เล่นที่ดีขึ้น และสยบความสงสัยของผู้คนว่า เขาจะมีปัญหากับ ดเวย์น เหวด เหมือนที่เคยมี กับ โคบี้ ไบรอันท์ หรือไม่ (แชค เคยประกาศเมื่อสมัยอยู่กับทีมเลเกอร์สว่า ทีมนี้คือทีมของเขา) โดยบอกกับสื่อมวลชนว่า "ไมอามี่ ฮีท คือทีมของ ดเวยน์ เหว็ด และสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ แชมป์เอ็นบีเอ"

ในฤดูกาล 2005-06 แชคบาดเจ็บข้อเท้าขวาในเกมที่สองของฤดูกาลและพลาดลงเล่นใน 18 เกมถัดมา ตลอดฤดูกาลปกติ โค้ช แพท ไรลีย์ (Pat Riley) จำกัดเวลาเล่นของแชคเพื่อให้แชคมีฟอร์มการเล่นที่สดขึ้นเมื่อถึงช่วงเพลย์ออฟ แชคจบฤดูกาลปกติได้เปอร์เซนต์การชู้ตสูงสุดในลีก และเป็นการทำสถิติได้เป็นครั้งที่ 9 ซึ่งมีเพียงแชค และ วิลต์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) เท่านั้นที่ทำได้ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2549 แชค ยังทำ ทริปเปิล-ดับเบิล เป็นครั้งที่สองในชีวิตการเล่นโดยได้ 15 คะแนน 11 รีบาวด์ 10 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงสุดของแชค

ในเพลย์ออฟ 2006 ฮีท ได้คว้าแชมป์เอ็นบีเอเป็นครั้งแรกของทีมภายใต้การนำของแชค และ ดเวน เหว็ด (Dwyane Wade) ฮีทเข้าเพลย์ออฟในอันดับสองในสาย เอาชนะทีมอันดับหนึ่งคือดีทรอยต์ พีสตันส์ในรอบชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก และชนะทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ในรอบชิงชนะเลิศ แชคทำผลงานเฉลี่ยน้อยกว่าฤดูกาลปกติ แต่ก็สร้างผลงานได้ดีในเกมที่ปิดซีรีส์เพื้อเข้ารอบต่อไป โดยทำ 30 แต้ม 20 รีบาวด์เอาชนะชิคาโก บูลส์ในรอบแรก และทำ 28 แต้ม 16 รีบาวด์ 5 บล็อกเอาชนะพีสตันส์ แชมป์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ของแชคและเป็นไปตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับไมอามี

ฤดูกาล 2006-07 ฮีท ประสบปัญหาการบาดเจ็บจากผู้เล่นหลัก แชคเจ็บเข่าขวา และไม่ได้ลงเล่นถึง 30 เกม ช่วงที่แชคหายไป ทีมมีปัญหาการเล่น แต่เมื่อแชคกลับมาเล่นอีกครั้ง เขาทำให้ทีมชนะ 7 ใน 8 เกมถัดมา แต่ ดเวน เหว็ด ก็มาบาดเจ็บหัวไหล่เคลื่อน นักวิจารณ์สงสัยว่าลำพังแชคสามารถแบกทีมให้เข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้หรือไม่ ซึ่งแชคก็ตอบข้อวิจารณ์โดยพาทีมให้ชนะเกมติดต่อกันและได้เล่นในเพลย์ออฟ ฮีท ได้พบกับ ชิคาโก บุลส์ ในรอบแรกแต่แพ้ 4 เกมรวดและตกรอบเพลย์ออฟ ถือเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ โอนีล ไม่สามารถเข้าสู่รอบสอง

ฤดูกาล 2006–07 นี้ โอนีลทำคะแนนรวมตลอดอาชีพการเล่นถึง 25,000 คะแนน ถือเป็นผู้เล่นเอ็นบีเอคนที่ 14 ที่ทำได้ แต่ฤดูกาลนี้ก็เป็นฤดูกาลของโอนีลที่ทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมไม่ถึง 20 คะแนน

โอนีล เล่นไม่ดีในช่วงต้นฤดูกาล 2007–08 ทำคะแนน รีบาวด์ และ บล็อก เฉลี่ยต่ำสุดเท่าที่เคยเล่น บทบาทในการทำคะแนนของเขาลดลงมาก เขาพยายามชู้ตแค่ 10 ครั้งต่อเกม เที่ยบกับค่าเฉลี่ยตลอดอาชีพการเล่นที่ 17 อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการฟาล์ว มีช่วงหนึ่งที่ทำฟาล์วจนต้องออกจากการแข่งขันติดต่อกัน 5 เกม จากผลงานที่ได้ดีและมีปัญหาบาดเจ็บบ่อย โอนีล พลาดการเล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ ทำให้สถิติการเล่นเกมรวมดาราถึง 14 ปีติดต่อกันของ โอนีล ก็จบลงในฤดูกาลนี้

ฟีนิกส์ ซันส์

แชคิล โอนีล เล่นในทีมซันส์ เจอกับนิวออลีนส์ ฮอร์เนตส์ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008

ฟีนิกส์ ซันส์ เทรดเอา โอนีล มาจากไมอามี ฮีท แลกกับ ชอน แมริออน (Shawn Marion) และ มาคัส แบงค์ส (Marcus Banks) โอนีล เล่นให้ซันส์เกมแรกในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แข่งกับเลเกอร์ส ทีมเก่าของเขา และทำ 15 แต้ม 9 รีบาวด์ เลเกอร์สชนะด้วยคะแนน 130 ต่อ 124 โอนีลกล่าวกับผู้สื่อขาวหลังจบเกมว่า: "ผมขอรับผิดจากการแพ้เกมนี้เพราะยังไม่เล่นเข้าขากับคนอื่น แต่ขอเวลาผมสี่หรือห้าวันแล้วผมจะทำให้ได้" I will take the blame for this loss because I wasn't in tune with the guys [...] But give me four or five days to really get in tune and I'll get it.[2]

แต่ในเกมฤดูกาลปกติที่ โอนีล เล่นรวม 28 เกม ทำได้เฉลี่ย 12.9 คะแนน 10.6 รีบาวด์ในปีแรกที่เล่นให้ซันส์[3] และได้เข้ารอบเพลย์ออฟ สาเหตุหนึ่งของการเทรดเอา โอนีล มา ก็เพื่อประกบกับ ทิม ดังแคน ของทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ เมื่อพบกันตอนเพลย์ออฟ โดยเฉพาะเมื่อซันส์ต้องตกรอบในเพลย์ออฟในฤดูกาลที่แล้วเพราะดังแคน[4] โอนีล และ ฟีนิกส์ ซันส์ ก็ได้พบกับทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ จริงๆ ในรอบแรกของเพลย์ออฟ แต่ก็แพ้ตกรอบอีกครั้งในการแข่ง 5 เกม ในการแข่งซีรีส์นี้ โอนีล ทำ 15.2 แต้ม 9.2 รีบาวด์ 1.0 แอสซิสต์ต่อเกม[3]

ผลงานของเขาดีขึ้นในฤดูกาล 2008-09 สำหรับโอนีล ครึ่งฤดูกาลแรก (41 เกม) เขาทำผลงานเฉลี่ย 18 แต้ม 9 รีบาวน์ และ 1.6 บล็อกต่อเกม ช่วยให้ทีมฟินิกส์ ซันส์มีสถิติ 23-18 อยู่ในอันดับ 2 ของดิวิชั่น เขาได้รับเลือกให้ติดทีมออลสตาร์อีกครั้งในปี 2009 และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าร่วมกับอดีตเพื่อนร่วมทีม โคบี้ ไบรอันต์

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2009 โอนีลชู้ต 45 แต้ม และรีบาวน์ 11 ครั้ง เป็นการทำคะแนน 40 แต้มหรือมากกว่าครั้งที่ 49 ของเขา ในเกมที่เอาชนะ โตรอนโต้ แร็พเตอร์ส 133-113 แต่ฤดูกาลนี้จบลง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โอนีลเข้ามาเอ็นบีเอเมื่อปี 1992 ที่เขาไม่ได้เข้ารอบเพลย์ออฟ


คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส

วันที่ 25 มิถุนายน 2009 ฟินิกส์ ซันส์ เทรด โอนีล ไปอยู่ทีม คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แลกกับ ซาช่า แพบโลวิช, เบน วอลเลซ, เงิน 500,000 เหรียญ และ สิทธิ์ในการดร้าฟผู้เล่นในรอบสองของปี 2010 การมาที่คลีฟแลนด์นี้ โอนีล กล่าวว่า "คำขวัญของผมง่ายมาก: ช่วยเดอะคิงคว้าแหวนแชมป์" "My motto is very simple: Win a Ring for the King," โดย The King นั้นหมายถึง เลอบรอน เจมส์

ในวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2010 โอนีลได้รับบาดเจ็บที่นิ้วโป้งข้างขวาขณะที่พยายามขึ้นชู้ตแล้วโดน เกล็น เดวิส ของทีม บอสตัน เซลติกส์ ปัดป้องกันไว้ เขารับการผ่าตัดในวันที่ 1 มีนาคม และกลับมาลงสนามวันที่ 17 เมษายน ในเพลย์ออฟรอบแรกที่ทีมพบกับ ชิคาโก้ บุลส์

แต่ถ้ามองตามตัวเลขสถิติทั้งฤดูกาลของโอนีลกับคาวาเลียร์สแล้ว กลับน่าผิดหวัง เขาทำผลงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในเกือบทุกด้าน บทบาทของเขาน้อยลงกว่าปีก่อนหน้า เขาไม่ราบรื่นนักในการเป็นผู้เล่นวงในสำหรับคลีฟแลนด์ แชคหายจากการบาดเจ็บและกลับมาเป็นตัวจริงให้ทีมในเพลย์ออฟได้ทันเวลา แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ที่มีสถิติชนะมากที่สุดในฤดูกาลปกติแต่กลับเข้าไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศได้ ถึงสองปีติดต่อกัน เมื่อพวกเขาพ่ายให้กับ บอสตัน เซลติกส์ 4 เกมต่อ 2 ในรอบรองชนะเลิศของการชิงแชมป์ฝั่งตะวันออก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553

อนาคตของโอนีลยังคงคลุมเครือเมื่อฤดูกาลจบลง เขาจะกลายเป็นผู้เล่น ฟรีเอเจนท์ ในช่วงปิดฤดูกาล 2010 นี้


บอสตัน เซลติก

หลังจบฤดูกาล 2009-2010 แชคกลายเป็นฟรีเอเจนท์ หลายทีมให้ความสนใจทั้ง แอตแลนตา ฮอกส์ และ ดัลลัส แมฟเวอริกส์ แต่ทั้งสองทีมก็ไม่สู้สัญญาค่าจ้างที่แชคต้องการสูงเกินไป ในวันที่ 4 สิงหาคม 2010 บอสตัน เซลติกส์ที่ตกลงเซ็นสัญญากับแชคด้วยสัญญาขั้นต่ำ 2 ปี 2.8ล้านเหรียญ

2 พฤศจิกายน วันเปิดฤดูกาล 2010-2011 แชคพลาดลงเล่น 5เกมแรก เนื่องจากอาการบาดเจ็บ และลงเล่นในเกมถัดไป

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2011 แช็คเกิดอาการบาดเจ็บอีกครั้งจนทำให้เขาพลาดเกมที่เหลือ

วันที่ 3 เมษายน 2011 แช็คกลับมาลงเล่นอีกครั้งหลังจากพลาดไป 27 เกม เขาลงเล่นด้วยเพียง 5 นาทีก็เกิดอาการบาดเจ็บ และนั่นเป็นเกมสุดท้ายของเขาในฤดูกาลปกติ

บอสตัน เซลติกส์ สามารถเข้าสู่รอบเพลย์ออฟ ด้วยสถิติฤดูกาลปกติ 56-26 เป็นที่ 3 ของสายตะวันออก ด้วยอาการบาดเจ็บ แช็ค ไม่สามารถลงเล่นในเกมนัดแรกที่เจอกับ นิวยอร์ก นิกส์ แต่ บอสตัน เซลติกส์สามารถชนะ 4 เกมรวดเข้ารอบสองแช็คกลับมาช่วยทีมอีกครั้งในเพลย์ออฟรอบที่สองในเกมที่ 3 และ 4 ด้วยเวลาลงทั้งหมดเพียง 12 นาที แต่เซลติกแพ้ให้ ไมอามี่ ฮีต ในเกมที่ 5

วันที่ 1 มิถุนายน 2011 แช็คประกาศรีไทร์ทางทวิตเตอร์ เราสามารถทำมันได้ ,19 ฤดูกาล ผมขอบคุณมาก นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากบอกคุณเป็นคนแรก ผมจะรีไทร์แล้ว รักและขอบคุณทุกคนนะ แล้วเราไว้คุยกัน