ประวัติ ของ แท่งทอง_เกียรติทวีสุข

แท่งทอง เริ่มฝึกชกมวยครั้งแรกในแบบมวยไทยตั้งแต่ยังเด็ก ๆ อายุราว 8-9 ขวบ ในชื่อ "แดงน้อย เดชทวี" โดยฝึกมวยครั้งแรกจากอารักษ์ ภูตระกูล จากนั้นจึงได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนตราษตระการคุณ จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์ตราษตระการของ สมชาย โพธิสุวรรณ เจ้าของค่ายเป็นผู้ดูแล จนสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอายุเพียง 16-17 ปี ก็ได้ขึ้นชกในสนามมวยเวทีลุมพินี ในชื่อ "ชัยชนะ เดชทวี" เคยเป็นแชมป์มวยในรุ่นมินิมั่มเวทของสนามมวยเวทีลุมพินีมาก่อน รวมถึงเป็นแชมป์มวยไทย 7 สี[1]และเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นในระดับทีมชาติชุด B มาก่อน ในขณะที่เกณฑ์ทหาร โดยได้เหรียญเงินการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2005 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่หลังจากนั้นไม่อาจเบียดแทรกขึ้นมาเป็นทีมชาติชุดจริงได้ จึงหันมาชกมวยสากลอาชีพแทน

แท่งทอง ชกมวยสากลอาชีพครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2550 โดยชนะน็อก เอกชัย โพทองยิม ในยกที่ 2 จนกระทั่งทำฟอร์มชนะรวดอีก 5 ครั้ง โดยเป็นการชนะคะแนน 1 ครั้ง ก็ได้ชิงแชมป์แพนแปซิฟิก IBF รุ่นแบนตั้มเวท กับ คิม อี ฮอน นักมวยชาวเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ปรากฏว่าแท่งทองสามารถเอาชนะคะแนน 12 ยกไปได้ รวมแล้วสามารถป้องกันแชมป์ในรุ่นนี้ไว้ได้ทั้งหมด 11 ครั้ง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 แท่งทองได้ชิงแชมป์ว่างในรุ่นแบนตั้มเวท อินเตอร์เนชั่นแนล WBC กับ นิค โอเทียโน นักมวยชาวเคนยา ปรากฏว่าเป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้ที่จังหวัดราชบุรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้ชิงแชมป์ว่างในรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท แพนแปซิฟิก IBF กับ ริชาร์ด ซาโมเซียร์ นักมวยชาวอินโดนีเซีย ปรากฏว่าแท่งทองเป็นฝ่ายเอาชนะน็อกไปได้ในยกที่ 3 ที่จังหวัดระยอง[2]

ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 แท่งทองสามารถเอาชนะทีเคโอไปได้ในยกที่ 10 ต่อ มาทูเบ ซินยาบี นักมวยชาวแอฟริกาใต้ ในไฟต์ตัดเชือกเพื่อหาผู้ชนะไปชกชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท IBF

แต่ต่อมาในวันที่ 26 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ในเวลาประมาณ 11.00 น. แท่งทองได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ที่จังหวัดจันทบุรี โดยเสียชีวิตพร้อมกับนางธีรพร คลองจันทร์ ภริยา และหลานชายฝาแฝดอีก 2 คนที่แท่งทองอุปการะเป็นลูกบุญธรรม ที่นั่งมาด้วยกัน ส่วนลูกสาว 2 คนบาดเจ็บสาหัส นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการมวยสากลของไทย โดยพิธีฌาปนกิจศพของแท่งทองและครอบครัวมีขึ้นในเวลาบ่ายของวันที่ 31 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ที่วัดหนองบอน อันเป็นบ้านเกิด[3][4]