แนวร่วมที่สอง (
อังกฤษ: Second United Front) คือ การรวมตัวกันเป็นพันธมิตรระหว่าง
พรรคก๊กมินตั๋ง และ
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วง
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทั้งสองตกลงที่จะพักรบ
สงครามกลางเมืองจีน ในช่วงปี
ค.ศ. 1937 จนถึง
ค.ศ. 1946ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง
แมนจูเรีย นายพล
เจียงไคเช็ค ได้สังเกตว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะกลายมาเป็นอันตรายใหญ่หลวง เขาได้ปฏิเสธที่จะยอมร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อที่จะขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากแผ่นดิน เมื่อวันที่
12 ธันวาคม ค.ศ. 1936 นายพลของพรรคก๊กมินตั๋งสองนาย คือ
จาง เสวียเหลียง และ
หยาง หู่เฉิง ได้ลักพาตัวนายเจียงไคเช็คและบังคับให้เขาร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาเหตุการณ์นี้ได้ถูกเรียกว่า
กรณีซีอาน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงใจที่จะยอมสงบศึกกันเองและพุ่งเป้าไปเพื่อที่จะกำจัดกองทัพญี่ปุ่นในแผ่นดินจีนพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเพียงผู้ก่อตั้งแนวร่วมแต่เพียงในนาม เพราะว่ากองกำลังคอมมิวนิสต์พบเจอกับกองทัพญี่ปุ่นเพียงน้อยครั้ง แต่ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการรบแบบกองโจร การร่วมมือกันอย่างจริงจังระหว่างทั้งพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ในระดับต่ำสุด แม้กระทั่งยังอยู่ใต้สภาวะพักรบกัน แต่ว่าทั้งสองพรรคก็ยังพยายามแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงดินแดนของจีนสถานการณ์กลายเป็นความตึงเครียดระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเกิดการรบขึ้นระหว่างทั้งกองกำลังทั้งสองระหว่างปี
ค.ศ. 1940 และ
ค.ศ. 1941 นายพลเจียงไคเช็กต้องการให้
กองทัพใหม่ที่สี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ถอนตัวออกไปจาก
มณฑลอานฮุยและ
มณฑลเจียงซู ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก ผู้บัญชาการกองทัพใหม่ที่สี่ได้ประกาศถอนตัวแต่กลับถูกกองทัพชาตินิยมซุ่มโจมตีและพ่ายแพ้เมื่อถึงเดือนมกราคม 1941 เหตุการณ์ดังกล่าวได้ชื่อว่า
กรณีกองทัพใหม่ที่สี่ ทำให้ฐานกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภาคกลางของประเทศอ่อนแอลง และเป็นการสิ้นสุดการให้ความร่วมมือกัน และนำไปสู่สงครามกลางเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดินแดนที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครอง กองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ได้ใช้กลศึกเพื่อรบกันเอง กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์สามารถทำลายหรือดูดกลืนกองทัพฝ่ายชาตินิยมหรือขับไล่กองกำลังเหล่านั้นไปสู่กองทัพญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีอิทธิพลอย่างมากในภาคเหนือของประเทศจีน (ยกเว้น
แมนจูกัว เท่านั้น)