แมคโอเอสเท็นรุ่นต่างๆ ของ แมคโอเอส

Mac OS X Public Beta (Kodiak)

เปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2000 ในราคา $ 29.95 เพื่อที่จะรับฟังความเห็นจากผู้ใช้ เป็นการเปิดตัวอินเตอร์เฟซ Aqua ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก และแอปเปิ้ลได้ทำการเปลี่ยนแปลง UI หลายอย่างจากความคิดเห็นของลูกค้าที่ตอบกลับมา Mac OS X Public Beta หมดอายุและหยุดการทำงานในฤดูใบไม้ผลิ 2001

Mac OS X 10.0 (Cheetah)

เนื้อหาหลักดูที่ : Mac OS X 10.0

วางจำหน่าย 24 มีนาคม พ.ศ. 2544 ได้รับคำชมในเรื่องความเสถียรและความสามารถ แต่มีปัญหาในด้านความเร็วในการทำงาน ราคาจำหน่าย 129 ดอลลาร์

Mac OS X 10.1 (Puma)

เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอสเท็น พูม่า

วางจำหน่าย 25 กันยายน พ.ศ. 2544 ไม่ได้วางจำหน่าย แต่แจกเป็นชุดอัพเกรดฟรีสำหรับ Cheetah เพิ่มความเร็วในการทำงาน และความสามารถอื่นๆ เช่น การเล่นดีวีดี

Mac OS X 10.2 (Jaguar)

เนื้อหาหลักดูที่ : Mac OS X 10.2

วางจำหน่าย 23 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน หน้าตาแบบใหม่ และความสามารถ เช่น

Mac OS X 10.3 (Panther)

วางจำหน่าย 24 ตุลาคม พ.ศ. 2546 พัฒนาความสามารถด้านอื่นเพิ่มขึ้น แต่หยุดสนับสนุนสถาปัตยกรรมแบบ G3 แล้ว ความสามารถเด่นมีดังนี้

  • Exposé - การแสดงหน้าต่างทำงานทั้งหมดในหน้าจอเดียว ทำให้ผู้ใช้เปลี่ยนหน้าต่างทำงานได้อย่างรวดเร็ว
  • Fast User Switching
  • FileVault
  • เพิ่มการสนับสนุนสถาปัตยกรรม G5

Mac OS X 10.4 (Tiger)

กำหนดวางจำหน่าย 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ความสามารถเด่นมีดังนี้

  • Spotlight
  • Dashboard
  • QuickTime 7
  • Automator
  • Front row

Mac OS X 10.5 (Leopard)

เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอสเท็น ลีโอพาร์ด

แมคโอเอสเทน เลเพิร์ด (มักเรียกผิดเป็น ลีโอพาร์ด) วางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 มีความสามารถเด่นที่ประกาศแล้วดังนี้

  • Time Machine
  • Spaces
  • Core Animation
  • Quicklook
  • Stack
  • Finder ใหม่ที่รวม Cover Flow view เข้าไป
  • รองรับ 64-bit

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมอีกด้วย

Mac OS X 10.6 (Snow Leopard)

แมคโอเอส สโนว์ เลเพิร์ด ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552 โดยหยุดการสนับสนุนสถาปัตยกรรม PowerPC และมีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมดังนี้

  • Dock Exposé
  • QuickTime X
  • Grand Central Dispatch
  • Safari 4
  • เขียนภาษาจีนโดยใช้ Trackpad ได้
  • ติดตั้งเร็วขึ้น 45%
  • ใช้พื้นที่น้อยลง 6GB
  • ปรับปรุงโค้ดกว่า 90%
  • เปลี่ยนเป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต อย่างสมบูรณ์
  • โปรแกรมทั้งหมดเปลี่ยนเป็น 64 บิต

Mac OS X 10.7 (Lion)

แมคโอเอส เท็น ไลออน ราคาจำหน่าย 29.99 ดอลลาร์สหรัฐ และแจกจ่ายไม่คิดเงินสำหรับผู้ซื้อรุ่น 10.6 ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2554 หรือหลังจากนั้น ซึ่งไม่ได้รับ แมคโอเอส เท็น รุ่น 10.7[12]

OS X 10.8 (Mountain Lion)

โอเอสเท็น เมาท์เท่น ไลอออน ราคาจำหน่าย 19.99 ดอลลาร์สหรัฐ และแจกจ่ายให้ผู้ซื้อแมคตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2555 หรือหลังจากนั้นที่ไม่ได้รับแมคโอเอสเท็น 10.8[14]

  • Game Center
  • แอพ Messages ใหม่ รองรับ iMessage
  • iCal เปลี่ยนเชื่อเป็น Calendar
  • แยกรายการที่ต้องทำออกมาจาก iCal เป็นแอพใหม่ชื่อ Reminders
  • รองรับ Documents in the Cloud ของ iWork
  • เพิ่มระบบ Notification Center แจ้งเตือนและสถานที่รวมการแจ้งเตือนทั้งหมด
  • รองรับบริการของประเทศจีน เช่น เพิ่ม Baidu ในเซิร์ชเอนจินของซาฟารี
  • เพิ่ม QQ, 163.com เข้าไปในระบบ Mail, Contacts และ Calendar
  • เพิ่ม Youku, Tudou, Sina Weibo เข้าไปใน share sheet

OS X 10.9 (Mavericks)

โอเอสเท็น 10.9 มาเวอริก แจกฟรีสำหรับผู้ใช้แมคที่ใช้ Mac OS X 10.6 Snow Leopard ขึ้นไป

  • แยกระบบหนังสือออกมาจาก iTunes เป็นแอพ iBooks และให้เปิดอ่านหนังสือจาก iBooks Store บน Mac ได้
  • เพิ่มแอพ Maps ระบบแผนที่ของแอปเปิล
  • iCloud Keychain ระบบเก็บรหัสผ่านของเว็บต่างๆ, บัตรเครดิต, รหัส Wi-Fi และส่งไปถึงอุปกรณ์ที่คุณใช้ทุกเครื่อง
  • ปรับปรุงระบบทำงานหลายหน้าจอ
  • การแจ้งเตือนแบบใหม่ สามารถจัดการงานต่างๆ ผ่านการแจ้งเตือนได้เลย เช่น ตอบข้อความ, รับสาย FaceTime, ลบอีเมล
  • เพิ่มระบบแท็บและแท็กให้ Finder ทำให้จัดการไฟล์ต่างๆ ได้สะดวกกว่าเดิม[15]

OS X 10.10 (Yosemite)

โอเอสเท็น 10.10 โยซิมิตี้ แจกฟรีสำหรับผู้ใช้แมคที่ใช้ Mac OS X 10.6 Snow Leopard ขึ้นไป

  • เปลี่ยนหน้าตาใหม่เหมือน iOS 7 ที่มีหน้าตาสวย ทันสมัย
  • เพิ่ม Today ใน Notification Center และสามารถใส่ widget เพิ่มได้ โดยสามารถดาวน์โหลด widget เพิ่มได้ที่ Mac App Store
  • Spotlight คลิกแล้วจะมาอยู่ตรงกลางหน้า desktop พร้อมค้นหาได้หลายที่ เช่น Wikipedia, App Store, iTunes Store, iBooks Store, เว็บไซต์ดังๆ, เวลาแสดงหนัง
  • iCloud Drive ทำให้เข้าถึงไฟล์บน iCloud ได้จากทุกที่ ทั้ง Mac, iPhone, iPad และ Windows
  • Safari ใช้ระบบเข้าเว็บแบบส่วนตัวเป็นรายหน้าต่างได้แล้ว, เพิ่มระบบค้นหา DuckDuckGo ที่จะไม่เก็บประวัติการค้นหาของผู้ใช้
  • Mail เพิ่มระบบ Markup ที่ไว้เซ็นหรือเขียนข้อความบนรูปภาพหรือไฟล์ PDF ได้จากในแอพ Mail, Mail Drop ระบบที่มีไว้เพื่อส่งไฟล์ที่ใหญ่แต่ต้องไม่เกิน 5GB
  • ระบบ Continuity ทำให้การทำงานระหว่าง iOS และ OS X ราบรื่น ซึ่งจะทำงานได้บน iOS 8 และ/หรือ OS X Yosemite ขึ้นไปเท่านั้น[16]

OS X 10.11 (El Capitan)

โดยเน้นปรับปรุงตรงที่ประสบการณ์การใช้งาน (Experience) และ ประสิทธิภาพ (Proformance)

  • เคอเซอร์จะใหญ่ขึ้น หากขยับเมาส์ไปเร็วๆ
  • Mail เพิ่ม gesture ปัดซ้าย-ขวาที่รายการอีเมล , เพิ่มเขียนเมลหลายแท็บ
  • Safari สามารถสั่ง pin site ได้ โดยการลากแท็บเข้ามาชิดขอบซ้ายมือ , เพื่มการควบคุมแท็บที่เปิดเสียงอยู่ ในขณะเล่นผ่านเสียง
  • Spotlight เพิ่มข้อมูลหลายอย่าง เช่น ผลกีฬา สภาพอากาศ
  • เพิ่มการจัดการหน้าต่าง , เพิ่มสามารถทำ split view (2 หน้าต่างพร้อมกัน) ได้บน Full Window
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพ ดังนี้
    • โหลดแอปพลิเคชัน เร็วขึ้น 1.4 เท่า
    • สลับแอปพลิเคชัน เร็วขึ้น 2 เท่า
    • โหลดเขียนอีเมลครั้งแรก เร็วขึ้น 2 เท่า
    • เปิดไฟล์เอกสาร (PDF) บนพรีวิว เร็วขึ้น 4 เท่า
  • เพิ่ม Metal API มาใช้แทนที่ OpenCL และ OpenGL โดยจะเพิ่ม
    • ประมวลผลภาพบนซีพียูเร็วขึ้น 50%
    • ประมวลผลภาพบนซีพียูประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 40%
    • เรนเดอร์ภาพบนจีพียูเร็วกว่า 10 เท่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กราฟิค[17]

macOS Sierra (10.12)

  • เปลี่ยนซื่อจาก OS X เป็น macOS เพื่อให้มีการจัดระเบียบซื่อตาม iOS , watchOS และ tvOS
  • เพิ่มความสามารถบนระบบ Continuity
    • ความสามารถปลดล็อกอัตโนมัติ (Auto Unlock)
    • ความสามารถคัดลอกแบบข้ามอุปกรณ์ (Universal Clipboard)
  • iCloud Drive สามารถซิงค์เดสก์ท็อปได้ ไฟล์ต่างๆได้
  • ปรับปรุงการจัดการพื้นที่โดย
    • ย้ายไฟล์เก่าๆ ขึ้น iCloud โดยอัตโนมัติ
    • ลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานโดยอัตโนมัติ เช่น แคช , ไฟล์อยู่ในถังขยะนานเกิน 60 วัน
  • เพิ่ม Apple Pay ให้ใช้จ่ายบนในเว็บได้
  • เพิ่มแท็บ เพื่อจัดการหน้าต่างของแอพต่างๆ
  • เพิ่ม Picture in Picture แสดงวิดีโอจากเว็บเป็นกรอบขนาดเล็ก เล่นอยู่ที่มุมจอ สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ง่าย
  • เพิ่ม Siri

macOS High Sierra (10.13)

เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอส ไฮ ซีเอรา

โดยเน้นปรับปรุงในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ โดยปรับปรุงแอพบน Safari , Mail Photos และอื่น ๆ พร้อมทั้งนี้ ยังใช้ฟอร์แมทฮาร์ดดิสก์ Apple File System (APFS) เป็นค่าเริ่มต้น , รองรับวิดีโอ ที่เข้ารหัสแบบ HEVC (H.265) , Metal API เป็นเวอร์ชัน 2 ซึ่งได้เปิดตัวมาในงาน WWDC 2017 ในวันที่ 6 มิถุนายน 2560

macOS Mojave (10.14)

เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอส โมฮาวี

macOS Mojave ได้เปิดตัวในงาน WWDC 2018 ในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 โดยมีการเพิ่ม Dark Mode , แอปที่มีใน iOS สามารถใช้กับ macOS ได้ (เบื้องต้นมี 4 แอปพลิเคชันคือ News, Stock, Voice Memo และ Home) , รองรับ Group FaceTime , ปรับปรุงหน้าจอ Mac App Store ใหม่ , ปรับปรุงการบันทึกหน้าจอ และสามารถบันทึกหน้าจอเป็นวีดีโอได้ ในเวอร์ชันนี้จะเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่รองรับแอพแบบ 32 บิต[18]

macOS Catalina (10.15)

macOS Catalina ได้เปิดตัวในงาน WWDC 2019 ในวันที่ 3 มิถุนายน 2562 โดยได้เพิ่มฟิวเจอร์ดังต่อไปนี้

  • ได้ทำการแยก iTunes แตกออกเป็น 3 แอพ (โดยมี Apple Music , Podscast และ Apple TV ส่วนตัวจัดการ iPhone ไปอยู่ในที่ Finder)
  • รองรับ SideCar (คือการนำเอา iPad มาเป็นหน้าจอที่สองของ macOS)
  • เพิ่มฟีเจอร์สำหรับคนพิการ
  • เพิ่มแอพ Find My โดยสามารถค้นหาเครื่องแมคได้ แม้ว่าเครื่องแมคนั้นปิดอยู่ หรือเครื่องจะออฟไลน์อยู่ก็ตาม พร้อมเพิ่มความสามารถ Acitivation Lock
  • เพิ่ม Screen Time เพื่อช่วยจัดการใช้งานในเวลาหน้าจอ
  • มาพร้อม API ใหม่ ที่สามารถนำแอพจาก iPad มาทำเป็น macOS ได้ง่ายขึ้น ในที่มีชื่อว่า Project Catalyst[19][20]

macOS Big Sur (11.0)

ในงาน WWDC 2020 ในวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ได้มีการเปิดตัว macOS Big Sur ซึ่งเป็นรุ่นแรกได้ใช้เป็นเวอร์ชั่น 11 โดยได้มีการปรับปรุง และเพิ่มฟิวเจอร์ดังต่อไปนี้

  • เปลี่ยนหน้าตา ยกดีไซน์ใหม่ไปใช้แบบใหม่ ดูสะอาดตามากยิ่งขึ้น พร้อมอัพเกรดไอคอนใหม่ด้วยเช่นกัน
  • เพิ่ม Control Center และเปลี่ยนหน้าตาของ Notification Center
  • เพิ่ม Privacy Report , พื้นหลัง และส่วนเสริมใน Safari พร้อมให้มีการอัพเดตให้โหลดได้เร็วกว่า Google Chrome ถึง 50%
  • ปรับปรุงแอพ Maps , Photos , Messenge และอื่น ๆ ใหม่ทั้งหมด รวมไปถึง Finder ด้วย[21]

และในรุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกที่รองรับซีพียูบนสถาปัตยกรรม ARM อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และประหยัดพลังงานสูงสุด ในทั้งนี้ ยังสามารถใช้กับซีพียู Intel ในสถาปัตยกรรม x86-64 ได้อยู่เช่นเคย และจะเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรม ARM สมบูรณ์ในอีก 2 ปี และยังส่งชุดอุปกรณ์พัฒนาที่คล้ายกับ Mac Mini มีนามว่า Developer Transition Kit หรือ DTK ซึ่งมีซีพียู Apple A12Z Bionic , ความจุแรม 16 GB , พื้นที่เก็บฮาร์ดดิสก์ SSD ความจุ 512 GB , ติดตั้ง macOS Big Sur ในรุ่นทดสอบสำหรับนักพัฒนา พร้อมโปรแกรม Xcode 12 มาให้ผู้พัฒนาใช้งานกัน ส่วนในแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อ x86-64 นั้น จะสามารถทำได้ดังนี้

  • ใช้ Universal 2 เมื่อเปิดโปรเจกต์โปรแกรม บนใน Xcode 12 Beta ขึ้นไป จะให้ทำการแปลงเป็น Native Apps เพื่ออัพเกรดให้รองรับ macOS ในสถาปัตยกรรม ARM
  • Rosetta 2 ระบบจำลองโปรแกรม ที่ให้โปรแกรมที่สร้างใน x86-64 นั้น ให้สามารถรันบนในสถาปัตยกรรม ARM ได้
  • เพิ่มระบบจำลอง ให้สามารถรันลินุกซ์ได้ พร้อมทั้งนี้ ยังรองรับแอพที่รันบนใน iOS และ iPadOS ได้ด้วย[22]

แหล่งที่มา

WikiPedia: แมคโอเอส http://images.apple.com/pr/library/2012/07/25Mount... http://itunes.apple.com/us/app/os-x-lion/id4443039... http://www.apple.com/macos/ http://www.apple.com/macosx/uptodate/ http://www.apple.com/pr/library/2001/jul/18macosx.... http://www.apple.com/pr/library/2002/may/06jaguar.... http://www.apple.com/pr/library/2003/jun/23panther... http://www.apple.com/pr/library/2004/may/04wwdc.ht... http://www.apple.com/pr/library/2006/jun/26wwdc.ht... http://www.apple.com/pr/library/2008/06/09snowleop...