ชีวิตหลังเสียแชมป์ ของ แสน_ส.เพลินจิต

แสนหยุดชกไปตลอดปี 2540 กลับมาชกอีกครั้งในปี 2541 โดยย้ายไปอยู่ในสังกัดของ "เสี่ยเน้า" วิรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ และเลื่อนรุ่นไปชกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท โดยมีเป้าหมายอยู่ที่แชมป์โลกซูเปอร์ฟลายเวท ของสภามวยโลก (WBC) แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้มีโอกาสชิงแชมป์ ต่อมา จึงกลับมาอยู่กับทรงชัย รัตนสุบรรณอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ชิงแชมป์อีก ในช่วงท้ายของชีวิตการชกมวย ในปี พ.ศ. 2545 และ ปี พ.ศ. 2546 แสนเดินทางไปชกถึงประเทศญี่ปุ่นถึง 2 ครั้ง หนึ่งในนั้นได้พบกับ โจอิจิโร ทัตสึโยชิ อดีตแชมป์โลกแบนตั้มเวท ของสภามวยโลก ด้วย ซึ่งแสนเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปยกที่ 6 ก่อนจะแขวนนวมไป

ต่อมาในกลางปี พ.ศ. 2548 แสนมีข่าวปรากฏตามสื่อมวลชนว่ามีชีวิตที่ลำบาก และอยากจะขอความช่วยเหลือจากสังคมเนื่องจากไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง และต่อมาก็พบว่าสร้อยคอทองคำที่ได้รับจากบรรดาผู้สนับสนุนก่อนการชกแต่ละครั้งนั้น รวมแล้วเป็นน้ำหนักกว่า 500 บาท กว่าครึ่งเป็นทองปลอม[2]

ปัจจุบัน แสนทำงานเป็นผู้ฝึกสอนมวยไทยและมวยสากลให้แก่บุคคลทั่วไปซึ่งมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ในฐานะลูกจ้างของ สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (สกพ.,ปัจจุบันคือกรมพลศึกษา) โดยเริ่มทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ได้รับเงินเดือนเดือนละ 8,000 บาท โดยหลังจากเสียแชมป์โลกไปแล้ว แสนได้ส่วนแบ่งเงินรางวัลมาทั้งหมดราว 10 ล้านบาท ได้ซื้อที่และปลูกบ้านให้พ่อกับแม่ได้อยู่อาศัยราว 3 ล้านบาท และไปซื้อที่ที่เขาใหญ่อีกประมาณ 5 ล้านบาท แต่ต่อมาที่ผืนนี้ต้องโดนยึด เนื่องจากแสนนำไปค้ำประกันให้เพื่อนคนหนึ่ง แล้วต่อมาเพื่อนคนนี้ทำธุรกิจล้มเหลวจึงถูกยึด ชีวิตจึงลำบาก ถึงขนาดต้องเลิกกับภรรยาเก่าที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ในช่วงนั้นแสนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันหน้าเข้าหาเหล้า แสนดื่มอย่างหนักจนถึงขั้นเสียสติพูดจาไม่รู้เรื่อง เป็นระยะเวลาร่วม 10 ปี จนกระทั่งได้ภรรยาคนปัจจุบันเตือนสติและอดีตอาจารย์ที่สถาบันการพลศึกษาปทุมธานีเข้ามาช่วยเหลือ โดยฝากฝังงานประจำในปัจจุบันให้ [3]

ในอนาคต แสนฝันอยากจะมีค่ายมวยเป็นของตัวเอง[4] และเรื่องราวชีวิตของแสนได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไทยในเรื่อง ความรัก ศรัทธา ปาฏิหาริย์ 2 ตอน "ผู้พิทักษ์" ในปี พ.ศ. 2555[5]