แอซีโทน
แอซีโทน

แอซีโทน

−94.9 °C, 178 K, -139 °F 56.53 °C, 330 K, 134 °F แอซีโทน (อังกฤษ: acetone) หรือตามระบบตั้งชื่อเรียก โพรพาโนน (อังกฤษ: propanone) เป็นสารเคมีที่พื้นฐานที่สุดของคีโตน (ketone)แอซีโทน เป็นของเหลวที่ระเหยง่ายไม่มีสีมีจุดหลอมเหลวที่ -95.4 °C และจุดเดือดที่ 56.53 °C มันมี ความหนาแน่นสัมพัทธ์ เท่ากับ 0.819 (ที่ 0 °C) ละลายได้ดีใน น้ำ เอทานอล อีเทอร์ ฯลฯ และเป็นตัวทำละลายที่สำคัญมาก การใช้งานแอซีโทนที่คุ้นเคยกันมากที่สุดคือใช้ในน้ำยาล้างเล็บ แอซีโทน ยังใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม พลาสติก ไฟเบอร์ ยา และ สารเคมีอื่น ๆอะซิโตน (Acetone) เป็นสารตัวทำละลายอินทรีย์ระเหยง่ายที่ไม่มีกลุ่มฮาโลจีเนตเต็ต ใช้มากในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมสำหรับใช้เป็นตัวทำละลายสารต่างๆ สามารถผลิต และสกัดได้จากธรรมชาติ และการสังเคราะห์ทางเคมีจากปิโตรเลียม
อะซิโตน ถูกค้นพบครั้งแรกโดย Schardinger จากกระบวนการหมักของแบคทีเรียในสภาวะไม่มีออกซิเจน โดยสามารถผลิตได้จากแบคทีเรียในกลุ่ม Cl. acetobutylicum และCl. beijerinckii ซึ่งวิธีนี้มีต้นทุนค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อะซิโตนส่วนมากที่มีใช้ในปัจจุบันจะได้จากกระบวนการสังเคราะห์จากปิโตรเลียมคุณสมบัติเฉพาะชื่อทางเคมี : 2-Propanoneชื่ออื่นๆ : Methyl ketone, Ketone propane, Dimethyl formaldehydeสูตร : CH3COCH3มวลโมเลกุล : 58.08สถานะ : ของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นคล้ายมินท์จุดเดือด : 56.5 องศาเซลเซียสจุดหลอมเหลว : -95จุดวาบไฟ : -2 องศาเซลเซียสลุกติดไฟได้เอง : 465 องศาเซลเซียสความถ่วงจำเพาะ : 0.79ความดันไอ : 400 มิลลิเมตรปรอท (39.5 องศาเซลเซียส)ค่าคงที่เฮนรี่ : 3.97 x 10-5 ลบ.ม.-บรรยากาศ (25 องศาเซลเซียส)การละลายน้ำ : ละลายน้ำได้ดี
ประโยชน์1. ในภาคอุตสาหกรรมมักใช้เป็นตัวทำละลายในกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเคมี ผลิตยา ผลิตสี หมึกพิมพ์ น้ำมันขัดเงา กาว แลคเกอร์ เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมพลาสติก เช่น เรซิน Bisphenol A สำหรับเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกหลายชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต โพลียูรีเทน และเรซิน เป็นต้น2. ห้องปฏิบัติการมักใช้อะซิโตนสำหรับเป็นตัวทำละลายในการเตรียมสารเคมี หรือ ใช้เป็นสารทำละลายสำหรับการสกัดสารอินทรีย์จากพืชหรือสัตว์3. ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้แก่ ใช้สำหรับการชะล้าง และเป็นสารไล่น้ำ
ข้อมูลความปลอดภัย และข้อแนะนำความเป็นอันตราย– อะซิโตนจัดเป็นสารอันตรายประเภทที่3 ตามประกาศ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย ปี 2535– ค่า LC50 เท่ากับ 50100 มก./ลบ.ม. (ในหนูที่ 8 ซม.)– ค่า OSHA-PEL เท่ากับ 2400 มก./ลบ.ม.การเกิดปฏิกิริยา– อะซิโตนมีความเสถียรภายใต้สภาวะปกติ– สารที่เข้ากันไม่ได้ ได้แก่ กรดไนตริกเข้มข้น กรดซัลฟูริก คลอโรฟอร์ม สารประกอบคลอรีน สารออกซิไดซ์ ยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ พลาสติก เป็นต้น– การเกิดปฏิกิริยา และการสลายตัวจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์
การเกิดอัคคีภัยอะซิโตน จัดเป็นสารไวไฟ มีจุดวาบไฟที่น้อยมากที่ -2 องศาเซลเซียส และลุกติดไฟได้เองที่ 465 องศาเซลเซียส ดังนั้น จึงมีโอกาสเกิดการติดไฟ และระเบิดได้ง่ายหากสัมผัสกับความร้อน และเปลวไฟ และเกิดระเบิดได้เองหากส่วนผสมของไอระเหยกับอากาศอยู่ภายใต้ขีดจำกัดความไวไฟที่ได้รับความร้อนมากเพียงพอ
อันตรายต่อสุขภาพ1. ระบบหายใจ : การสูดดมหรือหายใจเอาอะซิโตนเข้าสู่ระบบหายใจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ มีอาการไอ แน่นหน้าอก เวียนศรีษะ ปวดหัว2. ทางผิวหนัง : เมื่อมีการสัมผัสทางผิวหนังจะทำให้ชั้นไขมันผิวหนังถูกทำลาย ผิวหนังแดง อักเสบ มีอาการปวดแสบปวดร้อน3. สัมผัสกับตา : เมื่อมีการสัมผัสกับตาจะทำให้ตาระคายเคือง น้ำตาไหล มีอาการตาแดง และปวดตา4. การกลืนกิน : การกลืนกินเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะ ปวดหัว5. ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่อยู่ใกล้เคียงขณะปฏิบัติงาน ควรสวมถุงมือยาง รองเท้าบูท ผ้าปิดจมูก แว่นตาป้องกันสารเคมี และสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดทุกครั้ง
การเก็บรักษา– ควรเก็บในภาชนะที่ปิดบรรจุมิดชิด จัดเก็บในบริเวณที่แห้ง เย็น มีการระบายอากาศที่ดี– ควรเก็บในภาชนะที่ทำจากกแก้ว หลีกเลี่ยงการเก็บในภาชนะที่ทำด้วยโลหะ ใยสังเคราะห์ และพลาสติก– ควรเก็บให้ห่างจากแหล่งความร้อน แสงแดด เปลวไฟ และสารที่เข้ากันไม่ได้– อุณหภูมิสถานที่เก็บไม่ควรเกิน 30 องศาเซลเซียส–  สถานที่เก็บควรถูกต้องตามกฎหมายที่กรมโรงงานกำหนดในเรื่องการจัดเก็บวัตถุอันตราย มีป้ายเตือนอันตราย ป้ายเตือนให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ป้ายห้ามสูบบุหรี่ ระยะห่างจากแหล่งความร้อน แหล่งเชื้อเพลิง อาคารสามารถป้องกันประกายไฟ เป็นต้น