n/an/an/an/an/an/an/an/an/an/a
แอลฟาวัน-แอนติทริปซิน (
อังกฤษ: Alpha-1 antitrypsin หรือ α1-antitrypsin;
สัญลักษณ์: A1AT, α1AT, A1A , AAT) เป็น
โปรตีนในกลุ่ม
เซอร์ปิน ถูกถอดรหัสได้จากยีน SERPINA1 บนโครโมโซมคู่ที่ 14 ออกฤทธิ์เป็น
สารต้านโปรตีเอส จึงเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อ คือ alpha1–proteinase inhibitor (A1PI) หรือ alpha1-antiproteinase (A1AP) เนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ต้าน
โปรตีเอสได้หลายชนิด ไม่เฉพาะแค่
ทริปซิน[3] ในเอกสารชีวการแพทย์สมัยก่อน บางครั้งอาจเรียกโปรตีนชนิดนี้ว่า serum trypsin inhibitor (STI, สารต้านทริปซินในเลือด) เนื่องจากในการศึกษาช่วงแรกนั้น โปรตีนชนิดนี้มีความคุณสมบัติเด่นในการเป็นตัวยับยั้งทริปซิน
[4] ด้วยการที่ออกฤทธิ์เป็น
สารต้านเอนไซม์ A1AT จึงช่วยปกป้องเนื้อเยื่อต่างๆ จากเอนไซม์หลายชนิดที่ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์ที่เกี่ยวเนื่องกับ
การอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นิวโตรฟิลอีลาสเตส[4] ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อทำลายแบคทีเรียแปลกปลอม และอาจทำให้เนื้อเยื่อปกติของร่างกายได้รับความเสียดายได้
[5] นอกจากนี้ A1AT ยังสามารถจับกับอีลาสเตสบนผิวเซลล์ที่ทำหน้าที่
ถ่ายโอนสัญญาณในการกระตุ้นการเคลื่อนที่ของเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นได้ด้วย
[6]A1AT มี
ค่าอ้างอิงในกระแสเลือดระหว่าง 0.9–2.3 กรัม/ลิตร (ในสหรัฐ ค่านี้จะแสดงในหน่วย มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ
ไมโครโมล) แต่ค่าความเข้มข้นนี้อาจเพิ่มขึ้นในภาวะที่มี
การอักเสบเฉียบพลัน[4] กรณีที่มีปริมาณหรือการทำหน้าที่ของ A1AT ผิดปกติ เช่น ในภาวะพร่องแอลฟาวัน-แอนติทริปซิน จะทำให้มี
นิวโตรฟิลอีลาสเตสในรูปอิสระมากเกินไปจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่
อีลาสติน เป็นผลให้เนื้อเยื่อ
ปอดมีความยืดหยุ่นลดน้อยลง และเกิด
ความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจได้ในที่สุด อาทิ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[7] โดยปกติแล้ว A1AT ซึ่งถูกสร้างที่ตับจะเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อเข้าจับกับเอนไซม์เป้าหมาย แต่ในกรณีภาวะพร่องแอลฟาวัน-แอนติทริปซินนั้น A1AT จะไม่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ และทำให้เกิด
โรคตับแข็งได้ในที่สุด โดยหากเกิดอาจจำเป็นต้องมีการปลูกถ่ายตับเพื่อรักษาความผิดปกติดังกล่าว
[8] นอกเหนือจากตับแล้ว A1AT ยังถูกสร้างได้โดยเซลล์ใน
ไขกระดูก, เซลล์
ลิมโฟไซต์และ
โมโนไซต์ใน
ระบบน้ำเหลือง รวมไปถึง
พาเนทเซลล์ใน
ลำไส้เล็กด้วย
[9]การยับยั้งการทำงานของ A1AT โดย
เอนไซม์อื่นที่ไม่ใช่อีลาสเตสที่ถูกหลั่งออกมาในระหว่างที่มี
การอักเสบหรือ
การติดเชื้อจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของ
ทีเซลล์ไปยังตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติได้อย่างแม่นยำ (T cell)by ด้วยเหตุนี้ จึงพออนุมานได้ว่า นอกจาก A1AT จะมีบทบาทในการเคลื่อนที่ของ
ลิมโฟไซต์ไปยังเนื้อเยื่อเป้าหมาย ซึ่งเป็นกระบวนการตอบสนองขั้นต้นของระบบภูมิคุ้มกัน ยังมีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในระยะหลังด้วย
[10]A1AT จัดเป็นทั้ง
สารยับยั้งโปรตีเอสที่สร้างได้ภายในร่างกายและยาที่จัดเป็น
สารยับยั้งโปรตีเอสที่รับจากภายนอก โดย A1AT ในรูปแบบยาจะได้จากการสกัดจากเลือดที่ได้จาก
การบริจาคโลหิต และจำหน่ายในตลาดยา ทั้งภายใต้
ชื่อที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์คือ alpha1–proteinase inhibitor และชื่อการค้าต่างๆ (ได้แก่ Aralast NP, Glassia, Prolastin, Prolastin-C และ Zemaira) นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีการใช้ A1AT ที่ได้จากการสร้าง
ดีเอ็นเอสายผสมแต่จำกัดแค่การใช้ในงานวิจัยทางการแพทย์เท่านั้น