พระชนม์ชีพ ของ โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค

พระเจ้าคริสเตียนที่ 1 และสมเด็จพระราชินีโดโรเธีย

สมเด็จพระราชินีโดโรเธียทรงถือครองที่ดินในระบอบศักดินาในทั้งสามราชอาณาจักรของนอร์ดิกด้วยมูลค่า 45,000 ไรน์กิลเดอร์ และที่ดินที่ทรงมีสะสมเพิ่มขึ้นที่มีมูลค่า 15,000 กิลเดอร์ในโอเบอร์ฟาลซ์ เมื่อพระนางทรงตกพุ่มหม้ายในปีค.ศ. 1448 มีการเจรจาต่อรองให้พระนางอภิเษกสมรสกับอัลเบิร์ตที่ 6 อาร์คดยุกแห่งออสเตรียและพระเจ้าเครซิเมียร์ที่ 4 จาเกลอนแห่งโปแลนด์ แต่เมื่อคริสเตียนแห่งโอลเดนบวร์กได้รับเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กพระองค์ใหม่ มีการตกลงให้พระองคือภิเษกสมรสกับพระนางแทน

ในช่วงที่ทรงตกพุ่มหม้าย สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียทรงมีที่ดินในระบอบศักดินาจำนวนมากที่สร้างปัญหาให้ ในการอภิเษกสมรสครั้งที่สอง พระนางทรงสละสิทธิในที่ดินของพระนางในเดนมาร์กและนอร์เวย์ ซึ่งแทนที่ด้วยคาลุนด์บอร์กและซัมโซในเดนมาร์กและโรเมไรค์ในนอร์เวย์ พระนางยังทรงเรียกร้องสิทธิในดินแดนของพระนางที่สวีเดน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระนางไม่ยอมลดละ ตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง ทรงต่อสู้เพื่อเพื่อฟื้นการควบคุมเหนือดินแดนเหล่านั้น ในปีค.ศ. 1451 สงครามเกิดขึ้นระหว่างราชอาณาจักรเหนือพระราชมรดกของพระนาง พระนางทรงได้รับดินแดนนาร์เกและแวร์มลันด์ในปีค.ศ. 1457 แต่ทรงสูญเสียดินแดนเหล่านั้นในปีค.ศ. 1464 ในเรื่องนี้พระนางทรงขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระสันตะปาปาตั้งแต่ปีค.ศ. 1455 และพระนางประสบความสำเร็จในการขอปัพพาชนียกรรม ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งสวีเดน สเตน สตูเร ผู้อาวุโส เกิดการหยุดชะงักในการเจรจาต่อรองทางการเมืองกับสวีเดนเป็นเวลาหลายปี และพระโอรสของพระนาง พระเจ้าจอห์นแห่งเดนมาร์ก ทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสวีเดนในปีค.ศ. 1497 การบัพชานียกรรมได้ถูกบอกล้างอย่างรวดเร็วที่สุดเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1495 พระนางยังทรงต่อสู้กับเฟรเดอริกที่ 2 อีเล็กเตอร์แห่งบรันเดินบวร์ค พระปิตุลาของพระนาง ในการแย่งชิงมรดกที่ถูกทิ้งไว้หลังจากที่จอห์น มาร์เกรฟแห่งบรันเดินบวร์ค-คลัมบาร์ช พระบิดาของพระนางสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1464

สมเด็จพระราชินีโดโรเธียทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่พระสวามีเสด็จออกนอกราชอาณาจักร พระนางทรงได้รับตำแหน่ง slotsloven ซึ่งหมายความว่าพระนางทรงมีสิทธิบัญชาการปราสาททั้งหมดในเดนมาร์ก พระนางทรงเป็นบุคคลทางการเมืองที่ทรงอำนาจเนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของพระนาง ซึ่งได้รับความเคารพทั้งจากพระสวามีและพระโอรสของพระนาง พระนางทรงได้รับแม้กระทั่งที่ดินของพระสวามีเมื่อพระนางทรงให้พระสวามียืมพระราชทรัพย์แต่พระองค์ไม่สามารถจ่ายคืนได้ ในปีค.ศ. 1460 พระสวามีของพระนางทรงได้รับฮ็อลชไตน์และดัชชีชเลสวิช แต่มีเงื่อนไขที่ว่าพระองค์สามารถจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ของพระองค์ได้ สมเด้จพระราชินีโดโรเธียทรงจ่ายตามคำขอของพระเจ้าคริสเตียน และทำให้พระองค์สามารถทำให้ดินแดนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์กได้ พระนางทรงมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในฮ็อลชไตน์และชเลสวิช และโดยในปีค.ศ. 1470 พระนางทรงเป็นพระประมุขโดยพฤตินัยเหนือดินแดนเหล่านี้ ในปีค.ศ. 1479 พระนางทรงได้รับฮ็อลชไตน์และในปีค.ศ. 1480 ทรงได้รับชเลสวิชจากพระสวามีเพื่อเป็นหลักค้ำประกันของพระองค์ในการยืมเงินเมื่อไม่สามารถจ่ายคืนได้ และในช่วงที่พระสวามีสวรรคต พระนางทรงปกครองเหนือดัชชีในฐานะดินแดนของพระนางเอง พระโอรสองค์โตของพระนาง พระเจ้าจอห์นไม่ทรงเห็นด้วยที่พระนางจะทรงมอบชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ให้แก่พระโอรสองค์สุดท้องคือ เจ้าชายเฟรเดอริก ความขัดแย้งนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขจนกระทั่งค.ศ. 1487 เมื่อพระนางทรงแบ่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ให้กับพระโอรสทั้งสอง

ในปีค.ศ. 1475 และค.ศ. 1488 สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียได้เสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา (สมเด็จพระสันตะปาปาซิกซ์ตุสที่ 4และสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8)ที่กรุงโรม และเสด็จไปพบพระเชษฐภคินี พระนางบาร์บาราที่แมนชัว ในปีค.ศ. 1488 พระนางยังเสด็จไปพบกับจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่อินส์บรุค พระนางทรงได้รับการบรรยายว่าทรงมีพระบุคลิก เยือกเย็น ลงมือกระทำจริงและประหยัด เมื่อทรงตกพุ่มหม้าย พระนางทรงมีที่ประทับหลักคือปราสาทคาลุนด์บอร์ก สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียเสด็จสวรรคตในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1495 และพระศพถูกฝังเคียงข้างพระราชสวามีที่มหาวิหารรอสคิลด์

ใกล้เคียง

โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค โดโรเทอา แอคส์เลเบิน โดโลเรส โอริออร์แดน โดโรธี ฮอดจ์กิน โดโลเรส เวร์ตา โวโรเนจ โดโรโระ โดโมเดโดโวแอร์ไลน์ โดโรธี อลิสัน โดโรธี วอล์กเกอร์ บุช