โรงเรียนตะละภัฏศึกษา เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 63
ถนนแพร่งนรา แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นตำหนักไม้เก่าหลังเล็ก 2 ชั้น เดิมเคยใช้เป็นโรงละครปรีดาลัย
โรงละครที่จัดแสดง
ละครร้องโดย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างยิ่งในรัสมัย
รัชกาลที่ 6 และ
รัชกาลที่ 7 มีบทละครที่ทรงประพันธ์เสร็จ ณ ที่นี่หลายเรื่อง รวมถึงเปิดแสดงด้วย เช่น
สาวเครือฟ้า ที่ดัดแปลงมาจากบทอุปรากรเรื่อง
Madame Butterfly ของคีตกวีชาวอิตาลี
จาโกโม ปุชชีนี หรือ อีนากพระโขนง ที่ต่อเติมมาจาก
ตำนานเมืองอันโด่งดังของ
แม่นากพระโขนง (สำหรับเรื่องนี้เมื่อทรงประพันธ์ ทรงใช้
นามแฝงว่า "หมากพญา") ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อจัดแสดง ถึงกับมีการแสดงซ้ำต่อเนื่องกันถึง 24 คืน เป็นต้น
[1]โดยแต่เดิมโรงละครปรีดาลัย เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของ
วังวรวรรณ วังที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของวังวรวรรณ ถูกเวนคืนเพื่อนำพื้นที่มาสร้างเป็นถนน และอาคารพาณิชย์ตั้งแต่รัชสมัย
รัชกาลที่ 5 ซึ่งปัจจุบันนี้คือ ถนนแพร่งนรา คงเหลือแต่อาคารโรงเรียนตะละภัฏศึกษาประวัติของโรงเรียนตะละภัฏศึกษา เริ่มต้นหลังจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ปลีกวิเวกไปใช้พระชนม์ชีพบั้นปลายที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั่น เมื่อปี พ.ศ. 2474 ที่นี่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างระยะหนึ่ง จนกระทั่งขุนสงขลานครินทร์ อดีตมหาดเล็กใน
วังสระปทุม ได้รับประทานสถานที่แห่งนี้จาก
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อให้แก่ครอบครัวตะละภัฏของขุนสงขลานครินทร์ และเริ่มเปิดเป็นโรงเรียนจากการรับลูกหลานของข้าราชการและประชาชนทั่วไปในย่านนี้มาเรียน โดยได้แบ่งเนื้อที่ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกยังคงลักษณะตึกเดิมของโรงเรียน โดยสร้างเป็นชั้นลอยโครงไม้เพิ่มต่อ มีบันไดเวียนเหล็ก เชื่อมเป็นทางขึ้นไปสู่ห้องชั้นลอย อีกส่วนหนึ่ง ปรับให้เป็นอาคารสมัยใหม่ขนาดย่อม ใช้เป็นสำนักทนายความ คือ สำนักงานตะละภัฏทนายความ ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นราว พ.ศ. 2420–30 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีความสวยงามด้วย
สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคปนตะวันออก (
จีน-โปรตุเกส) มีระเบียงไม้ฉลุลาย
ขนมปังขิงเรียงรายตามเชิงชายคาโดยรอบ
[2]โรงเรียนตะละภัฏศึกษา ปิดกิจการลงเมื่อปี พ.ศ. 2538 ต่อมาสำนักงานตะละภัฏทนายความก็ได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ที่นี่จึงถูกปล่อยร้าง เพื่อรอวันบูรณะฟื้นฟู และอยู่ในการดูแลของ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวมถึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
[3]