ไรทะเล หรือ
อาร์ทีเมีย หรือ
ไรน้ำเค็ม หรือ
ไรน้ำสีน้ำตาล (
อังกฤษ: Brine shrimp, Sea-monkey) เป็น
สัตว์น้ำจำพวก
ครัสเตเชียนสกุลหนึ่ง ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม
การประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไรทะเล เป็นครัสเตเชียน ในสกุล Artemia ถือกำเนิดใน
บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนมานานกว่า 5.5 ล้านปีมาแล้ว
[2] ลักษณะเป็นสัตว์
สีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาล
ส้ม ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มตัว มีเพียงเนื้อเยื่อบาง ๆ เท่านั้นที่หุ้มตัว ว่ายน้ำเคลื่อนที่ในลักษณะหงายท้อง ลำตัวเรียวยาวคล้ายใบไม้แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว แบ่งออกได้เป็น 6 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของตาเดียวและตารวม มีก้านตา 1 คู่ ปล้องที่ 2 เป็นที่ตั้งของหนวดคู่แรก ปล้องที่ 3 เป็นที่ตั้งของหนวดคู่ที่ 2 ปล้องที่ 4 เป็นกราม ปล้องที่ 5 เป็นฟันคู่แรก ปล้องที่ 6 เป็นฟันคู่ที่ 2 ส่วนอกแบ่งออกเป็น 11 ปล้อง แต่ละปล้องประกอบด้วยระยางค์ เป็นอวัยวะทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ การหายใจและการกรองรวบรวมอาหาร ส่วนท้องแบ่งออกได้ 8 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของอวัยวะเพศ ปล้องที่ 2-7 ไม่มีระยางค์ ปล้องที่ 8 มีแพนหาง 1 คู่ โดยปกติเมื่อโตเต็มวัย เพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย และจะมีหนวดคู่ที่ 2 ขนาดใหญ่กว่ารูปร่างคล้ายตะขอใช้เกาะจับเพศเมีย บริเวณปล้องแรกของส่วนท้องของเพศผู้จะมีอวัยวะเพศผู้อยู่ 1 คู่ ในเพศเมียตัวเต็มวัย หนวดคู่ที่ 2 จะมีขนาดเล็กลง และเปลี่ยนมาทำหน้าที่รับความรู้สึก บริเวณปล้องแรกของส่วนท้องจะมีอวัยวะเพศเมียทำหน้าที่เก็บตัวอ่อนหรือเก็บไข่ ไรทะเลสืบพันธุ์ได้ทั้งอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ให้ลูกทั้งแบบเป็นตัว โดยจะมีไข่ฟักเป็นตัวภายในมดลูก ไข่ไม่มีเปลือกหนาแข็งหุ้ม สามารถวางไข่ได้ครั้งละ 300-500 ฟอง ขึ้นอยู่กับ
สายพันธุ์, ความสมบูรณ์ของไรทะเล หรืออุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่อาศัย ใช้เวลาประมาณ 48
ชั่วโมง ในการฟักเป็นตัวไรทะเล มีถิ่นกำเนิดใน
ทะเลสาบน้ำเค็ม ใน
สหรัฐอเมริกา,
ยุโรป และ
จีน ไม่พบใน
ประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 10 ชนิด ได้แก่
[1]ปัจจุบัน ไรทะเลสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ เป็น
อาหารหลักของสัตว์น้ำขนาดเล็ก ทั้ง
สัตว์น้ำเศรษฐกิจและ
สัตว์น้ำสวยงาม ด้วยมีคุณค่าทางอาหาร โดยเฉพาะ
โปรตีนสูง โดยกระทำกันเป็นฟาร์มในน้ำที่เค็มจัด อีกทั้งไข่ของไรทะเลก็สามารถอบแห้ง เก็บไว้ใน
กระป๋องได้นานเป็นปี เมื่อนำออกมาฟัก ก็สามารถกระทำได้ง่าย
[3]