ราชการทหาร ของ ไรน์ฮาร์ด_ฟอน_โลเอินกรัมม์

ดาวคัพเชอ-ลังกา

ไรน์ฮาร์ดจบการศึกษาจากวิทยาลัยการทหารจักรวรรดิในดาวหลวงโอดินโดยเป็นที่หนึ่งของรุ่น[1] เมื่อจบการศึกษา ร้อยตรี ฟอน มือเซิล และเคียร์ชไอส์ถูกส่งไปประจำการที่ดาวเยือกแข็ง คัพเชอ-ลังกา (Kapche-Lanka) ซึ่งเป็นดาวที่มีการสู้รบภาคพื้นดินกันอยู่กับเสรีพันธมิตร ระหว่างประจำที่นั่น ไรน์ฮาร์ดพบว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายถูกลอบสังหารโดยเกรฟินซุสซันนา ฟอน เบเนอมึนเดอ (Susana von Benemünde) อดีตหม่อมในองค์ไกเซอร์ซึ่งถูกแทนที่ด้วยอันเนโรเซอ ไรน์ฮาร์ดขัดขวางแผนการนั้นได้ พร้อมกันนั้น สามารถป้องกันฐานทัพจักรวรรดิจากการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด อย่างไรก็ตาม พันเอกแฮร์เดอร์ได้ฆ่าตัวตายหนีความผิด ทำให้ไร้พยานหลักฐานที่จะสาวถึงตัวเกรฟิน ฟอน เบเนอมึนเดอ ไรน์ฮาร์ดได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยโท และเข้าสังกัดกองเรืออวกาศ

เรือพิฆาต ฮาเมิลน์ 2

เดือนสิงหาคม ปีจักรวรรดิ 482 (ปีอวกาศ 791) ร้อยโท ฟอน มือเซิล รับตำแหน่งต้นหนประจำเรือพิฆาต ฮาเมิลน์ 2 สังกัดปราการอีเซอร์โลน ถึงแม้ผู้บังคับการเรือจะประทับใจในวีรกรรมล่าสุดของไรน์ฮาร์ด แต่ลูกเรือที่เหลือกลับมองเขาเป็นเพียงเด็กเส้นขุนนางคนหนึ่ง ระหว่างไรน์ฮาร์ดสวมชุดอวกาศเพื่อปฏิบัติงานนอกเรือ มีนายทหารคนหนึ่งถูกตัดขาดจากเรือและกำลังจะลอยคว้างไปในอวกาศแต่ได้ไรน์ฮาร์ดช่วยเอาไว้ วีรกรรมนี้ทำให้ลูกเรือฮาเมลินเริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขา

ต่อมาระหว่างการลาดตระเวนประจำตารางนอกอีเซอร์โลน ฝูงเรือฮาเมลินถูกเสรีพันธมิตรจู่โจม ผู้การเรือได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนร้อยเอกแบร์ทรัมที่เป็นรองอาวุโสก็ไม่อยู่บนสะพานเดินเรือ ไรน์ฮาร์ดจึงเข้าบัญชาการชั่วคราวจนสามารถนำเรือฮาเมิลน์ 2 จนหนีข้าศึกพ้น ในขณะฝูงเรือจักรวรรดิที่เหลือถูกทำลายสิ้น

กระทรวงการสงคราม

ร้อยเอก ฟอน มือเซิล ย้ายมาทำงานที่กระทรวงการสงครามในดาวหลวงโอดิน และได้รับรู้ถึงการทุจริตฉ้อฉลมากมายของเหล่าผู้บัญชาการที่แนวหน้า ไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์รวบรวมหลักฐานการทุจริตและส่งให้แก่ผู้บังคับบัญชา แต่กลับถูกตอบกลับมาว่าไม่สามารถทำอะไรได้ และยังถูกบอกว่าการคอร์รัปชั่นนั้นเป็น "ปิศาจร้ายที่ขาดไม่ได้"[2] คำพูดนั้นทำให้ไรน์ฮาร์ดอึ้ง และคิดว่าราชวงศ์โกลเดินบามเสื่อมทรามเกินกว่าจะไปต่อ

ระหว่างนี้ไรน์ฮาร์ดทราบว่า บัวร์เกรฟินโดโรเทอา ฟอน ชัฟเฮาเซิน หนึ่งในมิตรสหายของพี่ในวัง กำลังมีข้อพิพาทกับกราฟแฮกซ์ไฮม์เมอร์ ซึ่งเป็นญาติกับขุนนางราชบุตรเขยที่มากบารมีที่สุดของจักรวรรดิ: มาร์คกราฟวิลเฮล์ม ฟอน ลิทเทินไฮม์ ในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิการทำเหมืองเหนือแคว้น แฮกซ์ไฮม์เมอร์รู้ดีว่าเขาคงแพ้แน่หากต้องสู้คดีกันในชั้นศาล เขาจึงท้าประลองกับท่านหญิงชัฟเฮาเซิน เขาเชื่อว่าด้วยอำนาจบารมีของตระกูลเขาจะไม่มีใครยอมลงประลองให้กับตระกูลชัฟเฮาเซินเป็นแน่ เมื่อไรน์ฮาร์ดทราบเรื่องนี้เข้าจึงอาสาตัวลงประลองในฐานะตัวแทนตระกูลซัฟเฮาเซินทั้งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ในสนามประลองมาก่อน ข่าวเรื่อง "เด็กผมทอง" จะลงประลองแพร่สะพัดไปทั่วในหมู่สังคมชั้นสูงจักรวรรดิและกลายเป็นประเด็นร้อนแรง ไรน์ฮาร์ดต้องเรียนรู้วิธีการใช้ปืนคาบศิลาอย่างยุคโบราณซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธที่ใช้ในประเพณีการประลอง โดยมีพันตรีคอร์เนลิอุส ลุสท์ เป็นผู้ฝึกสอน ขณะเดียวกัน มาร์คเกรฟิน ฟอน เบเนอมึนเดอ ก็ได้ว่าจ้างมือสังหารมาแทนที่นักประลองของแฮกซ์ไฮม์เมอร์เพื่อหวังฆ่าไรน์ฮาร์ดอีกครั้ง หลังจากล้มเหลวไปในคราวคัพเชอ-ลังกา

มกราคม ปีอวกาศ 792 การประลองจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของมาร์คกราฟ ฟอน ลิทเทินไฮม์ ซึ่งเชียร์ข้างแฮกซ์ไฮม์เมอร์ การประลองจัดขึ้นท่ามกลางขุนนางแขกเหรื่อผู้มีเกียรติจำนวนมาก ทั้งสองยิงไม่ถูกกันในยกแรกเนื่องจากไรน์ฮาร์ดกระโจนไปด้านข้าง ในยกสองทั้งคู่ยิงถูกกันจนได้รับบาดเจ็บ มือสังหารเจ็บแขนซ้าย และไรน์ฮาร์ดเจ็บแขนขวา ยกที่สามเป็นการดวลดาบ มือสังหารซึ่งเป็นนักดาบมีฝีมือสามารถไล่ต้อนไรน์ฮาร์ดจนตกเป็นรอง แต่ก่อนที่ไรน์ฮาร์ดจะแพ้นั้นเอง กองราชองครักษ์ขี่ม้าเข้ามาและประกาศว่าองค์ไกเซอร์ฟรีดริชที่ 4 มีพระราชโองการให้ยุติการประลอง ทรงยุติข้อพิพาทโดยบัญชาให้แบ่งสิทธิการทำเหมืองให้สองตระกูลฝ่ายละครึ่งอย่างเท่าเทียมกัน

ยุทธการอีเซอร์โลนครั้งที่ 5

เมษายน ปีอวกาศ 792 พันตรี ฟอน มือเซิล ถูกโอนย้ายไปแนวหน้าที่ปราการอีเซอร์โลนในตำแหน่งผู้บังคับการเรือพิฆาต แอมลันด์ 2 ในระหว่างนี้เขาถูกสอบสวนโดยพันตรีเกรกอร์ ฟอน ครุมบัค ซึ่งถูกส่งตัวมาสืบการตายของพันเอกแฮร์เดอร์ที่ดาวคัพเชอ-ลังกา แต่ที่จริงแล้วพันตรีครุมบัคถูกส่งมาเพื่อสังหารไรน์ฮาร์ดตามคำสั่งของมาร์เกรฟิน ฟอน เบเนอมุนเดอ อย่างไรก็ตาม ครุมบัคไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้เนื่องจากทัพเสรีพันธมิตรเข้าโจมตีอีเซอร์โลน ครุมบัคขึ้นไปบนเรือพิฆาตแอมลันด์ 2 พร้อมกับไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์ ในยุทธการครั้งนี้ เรือแอมลันด์ 2 สามารถจัดการเรือลาดตระเวนเสรีพันธมิตรได้ ภายหลังเสร็จยุทธการ ไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์เผชิญหน้ากับครุมบัคและสังหารเขา ยุทธการในครั้งนี้ทำให้ไรน์ฮาร์ดได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโท และได้เป็นผู้บังคับการเรือลาดตระเวน เฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์ ("ลูกเป็ดขี้เหร่")

เรือลาดตระเวน เฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์

ธันวาคม ปีอวกาศ 792 หลังเป็นผู้การเรือลาดตระเวนเฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์มาได้ครึ่งปี ไรน์ฮาร์ดและลูกเรือได้รับภารกิจลับพิเศษจากหน่วยราชการลับจักรวรรดิ ภารกิจนั้นคือการสกัดกั้นเรือของกราฟแฮกซ์ไฮม์เมอร์ที่กำลังหลบหนีไปเสรีพันธมิตรพร้อมกับโปรโตไทป์เครื่องปล่อยอนุภาคเซฟเฟิลแบบกำหนดทิศทางที่ขโมยไป

หลังจัดเรือเข้าปะทะเรือตรวจการณ์เสรีพันธมิตรบริเวนพรมแดนในระเบียงอีเซอร์โลนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว เรือเฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์ก็สามารถข้ามพรมแดนเข้าไปยังเขตแดนเสรีพันธมิตรได้โดยไม่ถูกตรวจจับ ด้วยข้อมูลข่าวกรองอันมีค่าจากร้อยโทไนด์ฮาร์ท มึลเลอร์ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำเฟซาน เรือเฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์ลัดเลาะชายแดนของเสรีพันธมิตรโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรไปจนถึงระเบียงเฟซาน และสามารถสกัดเรือของแฮกซ์ไฮม์เมอร์ไว้ได้ แต่ระหว่างขากลับ เรือของแฮกซ์ไฮม์เมอร์เกิดอุบัติเหตุความดันจนครอบครัวทั้งหมดเสียชีวิต เหลือรอดเพียงลูกสาวที่ถูกนำตัวมาโดยสารเรือเฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์เท่านั้น

ไรน์ฮาร์ดไม่สามารถย้ายเครื่องกำเนิดอนุภาคต้นแบบมายังเรือเฮ็สลิชเชอแอ็นท์ไลน์ได้ เนื่องจากมันถูกยึดติดกับเรือของแฮกซ์ไฮม์เมอร์ด้วยล็อกดิจิทัล ระหว่างเส้นทางขากลับจักรวรรดิ ไรน์ฮาร์ดใช้เครื่องกำเนิดสร้างอนุภาคเซฟเฟิลขึ้นมาปริมาณหนึ่ง ซึ่งเพียงพอทำลายฝูงเรือตรวจการณ์เสรีพันธมิตรที่ไล่ตามมา ในภายหลัง เคียร์ชไอส์เสนอปล่อยตัวลูกสาวของแฮกซ์ไฮม์เมอร์ไปยังเสรีพันธมิตรแลกกับรหัสปลดล็อก ซึ่งก็ตกลง

อย่างไรก็ตาม รหัสผ่านไม่เพียงทำให้เข้าถึงเครื่องปล่อยอนุภาคฯได้เท่านั้น แต่ยังเข้าถึงข้อมูลอื่นๆของกราฟแฮกซ์ไฮม์เมอร์ด้วย ท่านกราฟพบว่าบุตรสาวของดยุกออทโท ฟอน เบราน์ชไวค์ เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่ได้มาจากมารดาซึ่งเป็นพระธิดาองค์รองในองค์ไกเซอร์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบุตรสาวของมาร์คกราฟ ฟอน ลิทเทินไฮม์ ที่เกิดกับพระธิดาองค์ใหญ่ต้องเป็นโรคนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นจะทำให้ทายาทสายพวกเขาหมดสิทธิเป็นทายาทสืบสันตติวงศ์จากผลของพระราชบัญญัติกัดกันผู้บกพร่องทางพันธุกรรม ดังนั้น ลิทเทินไฮม์จึงพยายามฆ่าปิดปากกราฟแฮกซ์ไฮม์เมอร์ที่รู้ความลับนี้เข้า นอกเหนือจากไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์ที่รู้ความลับนี้เข้า ก็มีพันตรีเบ็นด์ลิงแห่งหน่วยราชการลับอีกคน แต่เบ็นด์ลิงเลือกลี้ภัยไปยังเสรีพันธมิตรพร้อมกับลูกสาวแฮกซ์ไฮม์เมอร์ ไรน์ฮาร์ดได้เลื่อนยศเป็นพันเอก ส่วนเคียร์ชไอส์ได้เป็นร้อยเอก ทั้งคู่ถูกโอนย้ายกลับไปดาวโอดิน

กรมสารวัตรทหาร

เมื่อกลับมาถึงโอดิน พันเอก ฟอน มือเซิล และร้อยเอกเคียร์ชไอส์ ได้รับคำสั่งให้ทำงานในกรมสารวัตรทหาร ไรน์ฮาร์ดไม่พอใจเท่าไหร่ด้วยเชื่อว่าตำแหน่งงานนี้จะปิดโอกาสทำผลงานของเขา แต่เคียร์ชไอส์ช่วยพูดโน้มน้าวว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะเรียนรู้ว่าสารวัตรทหารทำงานกันยังไง เขาพบว่าในบรรดาหน่วยงานราชการจักรวรรดิ กรมสารวัตรทหารเป็นหน่วยงานที่ควรถูกปฏิรูปมากที่สุดเป็นอันดับแรกๆ

ช่วงนี้เองที่ไรน์ฮาร์ดได้ยินเรื่องราวของพันโทอุลริช เค็สเลอร์ พันโทเค็สเลอร์เคยเป็นผู้ตรวจราชการประจำกรมสารวัตรทหาร ครั้งหนึ่งเขาพยายามยับยั้งสารวัตรทหารไม่ให้ใช้กำลังลงโทษอย่างรุนแรงต่อสตรีนางหนึ่งโทษฐานที่เธอหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งส่งผลให้อุลริชขาดความก้าวหน้าในงานราชการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวนี้ทำให้ไรน์ฮาร์ดรู้สึกสิ้นหวังกับจักรวรรดิเข้าไปใหญ่

ไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์ได้ช่วยไขคดีฆาตกรรมนักเรียนที่โรงเรียนนายร้อยจักรวรรดิจนสำเร็จ

ยุทธการฟานฟลีท

ไรน์ฮาร์ดในวัย 18 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นพลจัตวา และเป็นผู้บังคับหมวดของกองเรือพลโทกริมเมิลส์เฮาเซิน (Grimmelshausen) และได้เข้าร่วมในยุทธการฟานฟลีท (Battle of Van-Fleet) ในเดือนมีนาคม ปีจักรวรรดิ 485 ในขั้นต้น หน่วยของเขาได้เป็นแค่กองหนุนเท่านั้นซึ่งทำให้ไรน์ฮาร์ดไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ตาม โอกาสมาถึงไรน์ฮาร์ด เมื่อกองเรือกริมเมิลส์เฮาเซินถูกส่งไปยังดาวฟานฟลีทซึ่งเป็นฐานยุทธบำรุงของเสรีพันธมิตร พวกจักรวรรดิแทบไม่รู้อะไรกับดาวนี้เลย ไรน์ฮาร์ดจึงได้อาสาตัวนำทีมลงไปภาคพื้นดิน อย่างไรก็ตาม พลจัตวาลือเนอบวร์ค (Lüneburg) ซึ่งเชี่ยวชาญสมรภูมิภาคพื้นดินได้ร้องขอทำหน้าที่นี้แทน เมื่อกองเรือทั้งหมดลงจอด ไรน์ฮาร์ดต้องอยู่ประจำบนเรือธงเพื่อทำหน้าที่หน่วยจู่โจมโดยให้รับคำสั่งจากลือเนบวร์ค ซึ่งทำให้ไรน์ฮาร์ดไม่พอใจลึกๆเนื่องจากทั้งสองมียศเท่ากัน เป็นจุดเริ่มของภาวะคู่แข่งระหว่างไรน์ฮาร์ดและลือเนบวร์ค แต่ในระหว่างการปะทะ ไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์ได้นำกองทหารลอบเข้าไปในฐานของเสรีพันธมิตร และควบคุมตัวผบ.ฐานไว้ได้ ทำให้ในที่สุด

เมื่อกลับไปยังโอดิน กริมเมิลส์เฮาเซินได้เป็นพลเอก ทั้งไรน์ฮาร์ดและลือเนบวร์คได้เลื่อนขั้นเป็นพลตรี ไรน์ฮาร์ดไปเยี่ยมอันเนโรเซอและบ่นเคียร์ชไอส์ที่ปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่ง อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด พลเอกกริมเมิลส์เฮาเซินได้ยืนยันที่จะเสนอเลื่อนขั้นให้เคียร์ชไอส์เป็นพันตรีในฐานะเพื่อนของไรน์ฮาร์ด ไม่นานหลังจากนั้น ไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอส์ได้ยินข่าวลือว่า องค์ไกเซอร์ดำริที่จะมอบบรรดาศักดิ์พร้อมราชทินนาม "กราฟ ฟอน โลเอินกรัมม์" ให้แก่ไรน์ฮาร์ดในโอกาสวันเกิดครบรอบ 20 ปี[2]

ยุทธการติอามัตครั้งที่ 3

ในวโรกาสที่จักรพรรดิฟรีดริชที่ 4 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 30 ปีในเดือนธันวาคม ปีอวกาศ 794 กองทัพจักรวรรดิได้ประกาศแผนการโจมตีต่อเสรีพันธมิตร ส่วนหนึ่งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของราษฎรจักรวรรดิจากความไม่พึงพระราชกิจขององค์ไกเซอร์ รัฐบาลเสรีพันธมิตรได้รับแจ้งการข่าวกรองนี้จากแคว้นเฟซานและจัดทัพออกต่อต้าน

เมื่อทัพหลักจักรวรรดิในบัญชาของจอมพลมึคเคินแบร์เกอร์สามารถสลัดตัวออกจากกองเรือที่ 11 ได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กองเรือไรน์ฮาร์ดซึ่งตั้งหลักอยู่นอกกระบวนรบทำการระดมยิง เรือธง เอพิมีเทียส แห่งกองเรือที่ 11 กลายเป็นจุนไปพร้อมกับฮอลแลนด์ในทันที ซึ่งทำให้กองเรือที่ 11 ที่เหลือถอนทัพอย่างเร่งด่วน เคียร์ชไอส์แนะนำไม่ให้ไรน์ฮาร์ดไล่ตามซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การถอนทัพของกองเรือที่ 11 ถูกคุ้มกันโดยกองเรือที่ 5 และ 10 ที่ตามมาถึงพอดี กองเรือที่ 5 และ 10 ทำการคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้จักรวรรดิไล่ตามมา จักรวรรดิถือว่าการทำลายเรือธงกองเรือที่ 5 เป็นการบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงประกาศชัยชนะและถอนกำลังออกจากระบบดาวติอามัตก่อนที่กำลังเสริมเสรีพันธมิตรจะมาถึง

ผลงานในครั้งนี้ทำให้ไรน์ฮาร์ดได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ถือเป็นพลเอกที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ องค์ไกเซอร์ยังทรงตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการกำลังรบนอกไรช์ แต่ของขวัญเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับเรือ บรึนฮิลด์ ซึ่งองค์ไกเซอร์ทรงประทานให้เป็นเรือธงประจำตัว ไรน์ฮาร์ดชอบเรือบรึนฮิลด์นี้อย่างมาก เคียร์ชไอส์ได้เลื่อนยศเป็นพันโท

ยุทธการติอามัตครั้งที่ 4

กันยายน ปีอวกาศ 795 กองทัพเสรีพันธมิตรเลือกที่จะโจมตีปราการอีเซอร์โลนอีกครั้งหลังความพ่ายแพ้ที่เล็กนีซา กองเรืออวกาศประจำฐานอีเซอร์โลนในบัญชาของจอมพลมึคเคินแบร์เกอร์เคลื่อนกำลังไปประจันหน้ากับกองเรือเสรีพันธมิตร โดยมีกองเรือพลเอก ฟอน มือเซิล ประจำตำแหน่งปีกซ้าย มึคเคินแบร์เกอร์พยายามขจัด "พลเอกชายกระโปรง" อีกครั้ง โดยการสั่งกองเรือไรน์ฮาร์ดลุยเข้าไปหาทัพเสรีพันธมิตรอย่างเดี่ยวๆเพื่อเป็นเหยื่อล่อ ในขณะที่หน่วยอื่นๆคงประจำตำแหน่งเดิม จอมพลเฒ่าคิดว่ากองเรือไรน์ฮาร์ดจะต้องถูกทัพกบฎที่มีกำลังเหนือกว่าบดขยี้เป็นจุน ไรน์ฮาร์ดยอมทำตามคำสั่งนั้นโดยเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน ไรน์ฮาร์ดเคลื่อนกำลังมุ่งตรงเข้าไปหาทัพข้าศึกเพียงลำพัง แต่แทนที่จะเปิดฉากยิงเมื่อเข้าสู่ระยะยิง เขากลับให้ทั้งกองเรือเลี้ยวขวาเก้าสิบองศา กองเรือของนายพลผมทองเคลื่อนที่ช้าๆอยู่หน้าทัพศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง ผบ.ฝ่ายเสรีพันธมิตรสับสนกับท่าทีของกองเรือไรน์ฮาร์ดอย่างจนไม่กล้าโจมตี โดยเชื่อว่าคงจะเป็นกับดักอะไรซักอย่าง และนั่นทำให้กองเรือของไรน์ฮาร์ดเคลื่อนไปจนถึงปีกซ้ายของทัพเสรีพันธมิตร

กว่าที่พวกเขาจะคิดได้ก็จนเมื่อทัพใหญ่ของมึคเคินแบร์เกอร์ตามมาสมทบ ทัพเสรีพันธมิตรจึงต้องทุ่มกำลังไปต้านทัพใหญ่ของจักรวรรดิโดยไม่สนใจกองเรือไรน์ฮาร์ด ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมีกำลังไล่เลี่ยกันจนกินกันไม่ลง มึคเคินแบร์เกอร์รู้ว่าโดนเด็กผมทองเล่นเข้าให้แล้วจึงไม่ยอมออกคำสั่งให้ไรน์ฮาร์ดร่วมโจมตี จอมพลเฒ่ายังเชื่อว่าเด็กผมทองเป็นคนใจแคบ หากเขาไม่สั่งมีหรือที่เด็กนั่นจะอาสามาช่วยเขา อย่างไรก็ตาม ไรน์ฮาร์ดกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องจอมพลมากนัก เขาเห็นว่าหากเขาเข้าโจมตีปีกขวาของเสรีพันธมิตรจะสามารถช่วยชีวิตทหารจักรวรรดิไว้ได้หลายหมื่นคน เมื่อคิดได้เช่นนั้นไรน์ฮาร์ดจึงสั่งกองเรือเข้าโจมตี

สถานการณ์ศึกก็เปลี่ยนไปทันทีหลังกองเรือไรน์ฮาร์ดเข้าร่วมโจมตี ทัพเสรีพันธมิตรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนกำลัง ขณะเดียวกัน พลจัตวาหยางเหวินลี่ใช้อุบายบางอย่างทำให้เข้าใจว่ามีกองเรือเสรีพันธมิตรหลายพันลำกำลังมุ่งไปที่ปราการอีเซอร์โลนที่ไร้การป้องกัน มึคเคินแบร์เกอร์รีบสั่งการให้ถอนกำลังกลับอีเซอร์โลนในทันที ทัพเสรีพันธมิตรฉวยโอกาสนี้ในการถอนกำลังเช่นกัน แต่ทว่า ไรน์ฮาร์ดจับทางได้ว่านั่นเป็นอุบายของเสรีพันธมิตรและแจ้งให้จอมพลทราบ ทัพใหญ่จักรวรรดิจึงหันมาโจมตีต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถอนกำลัง พลจัตวาหยางนำเรือยูลิสซีส ฝ่าเข้าไปใจกลางกองเรือไรน์ฮาร์ดที่ตำแหน่งข้างใต้เรือธงบรึนฮิลด์ซึ่งทำให้ไรน์ฮาร์ดเหมือนตกเป็นตัวประกัน อย่างไรก็ตาม ไรน์ฮาร์ดสั่งการเรือในสังกัดของเขาให้จัดการเรือยูลิสซีสทันทีโดยไม่ต้องสนความปลอดภัยของเขา แต่คำสั่งนั้นถูกปฏิเสธโดยพันเอกคาร์ล โรแบร์ท ชไตน์เม็ทซ์ ผู้บังคับการเรือธงบรึนฮิลด์ พันเอกชไตน์เม็ทกล่าวว่าในฐานะผู้การเรือธง เขาจะไม่ยอมให้เรือธงประสบอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไรน์ฮาร์ดเข้าใจ

แม้มึคเคินแบร์เกอร์จะเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีในการกำจัดเด็กผมทองแต่เขากลับไม่กล้าสั่งยิง เพราะหากไรน์ฮาร์ดตายด้วยวิธีนี้ความผิดจะตกอยู่ที่เขาเต็มๆ เขาไม่อยากเอาหน้าที่การงานไปเสี่ยงขนาดนั้น ในที่สุด กองทัพทั้งสองฝ่ายจึงเคลื่อนสวนกันไปโดยเงียบเชียบ เมื่อแยกจากกันแล้วหยางจึงนำเรือยูลิสซีสออกจากสนามรบด้วยเช่นกัน หลังศึกครั้งนี้ ไรน์ฮาร์ดพยายามสืบหาชื่อผู้บัญชาการเรือที่จับเขาเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกัน หยางก็พยายามสืบหาชื่อผู้บัญชาการของเรือธงสีขาวเช่นกัน ไรน์ฮาร์ดกลับไปดาวโอดินพร้อมกับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษสงคราม เขาได้เลื่อนยศเป็นพลเอกอาวุโส (Generaladmiral) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "กราฟ ฟอน โลเอินกรัมม์" เคียร์ชไอส์ได้เลื่อนเป็นพันเอก

ยุทธการอัสทาร์ท

หลังกลับมาโอดินได้เพียงไม่นาน พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักใช้อิทธิพลกดดันให้กองบัญชาการใหญ่ส่งไรน์ฮาร์ดกลับไปที่แนวหน้าอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น นายทหารระดับสูงในกองเรือโลเอินกรัมม์ต่างถูกดึงตัวไปปฏิบัติราชการอื่น และถูกแทนที่ด้วยนายทหารจากหน่วยอื่นซึ่งไม่ได้ใกล้ชิดกับไรน์ฮาร์ดเป็นการชั่วคราว ไรน์ฮาร์ดมองว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะสร้างผลงานและพิสูจน์ตนเองขึ้นไปอีก ในที่สุด เขาได้รับคำสั่งให้นำกองเรือ 21,328 ลำเข้ารุกรานระบบดาวอัสทาร์ทของเสรีพันธมิตร แต่ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์แอบแจ้งข่าวการเคลื่อนพลนี้ให้รัฐบาลเสรีพันธมิตรทราบผ่านทางแคว้นเฟซาน ซึ่งทำให้เสรีพันธมิตรจัดทัพเรือขนาด 40,436 ลำจากสามกองเรือเข้าต่อต้าน