ตั้งแต่ปี 2544 นักรบชาวปาเลสไตน์ยิงจรวดและปืนครกหลายพันลูกและนัดต่ออิสราเอลจาก
ฉนวนกาซา โดยเป็นส่วนหนึ่งของ
ความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่กำลังดำเนินอยู่ ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2557 การโจมตีดังกล่าวฆ่าพลเรือนชาวอิสราเอล 27 คน พลเมืองต่างด้าว 5 คน ทหาร IDF 5 คน และชาวปาเลสไตน์อีกอย่างน้อย 11 คน
[1] แต่ผลกระทบหลักคือทำให้เกิดการบาดเจ็บทางใจอย่างกว้างขวางและการรบกวนชีวิตประจำวันของพลเมืองชาวอิสราเอล การศึกษาทางการแพทย์ในสะเดรอด (Sderot) นครของอิสราเอลที่อยู่ใกล้ฉนวนกาซามากที่สุด พบอุบัติการณ์ของ
ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) ในเด็กเล็กถึง 50% เช่นเดียวกับอัตรา
โรคซึมเศร้าและ
การแท้งสูง
[2][3][4] ผลสำรวจความเห็นสาธารณะซึ่งจัดทำในเดือนมีนาคม 2556 พบว่าชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนการยิงจรวดใส่อิสราเอลจากฉนวนกาซาและมีเพียง 38% สนับสนุนการใช้ และกว่า 80% สนับสนุนการประท้วงแบบไม่รุนแรง
[5] การสำรวจอีกครั้งหนึ่งที่จัดทำในเดือนกันยายน 2557 พบว่าชาวปาเลสไตน์ 80% สนับสนุนการยิงจรวดใส่อิสราเอลหากไม่อนุญาตให้เข้าออกกาซาอย่างอิสระ
[6] การโจมตีด้วยจรวดเหล่านี้ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินที่
ท่าอากาศยานนานาชาติเบนกูเรียน[7]อาวุธดังกล่าว ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่า กัสซัม เดิมหยาบและมีพิสัยใกล้ โดยมีผลต่อสะเดรอดและชุมชนอื่นที่อยู่ติดฉนวนกาซาเป็นหลัก ในปี 2006 เริ่มมีการใช้จรวดที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมีพิสัยถึงนครชายฝั่งแอชคะลอน (Ashkelon) ที่มีขนาดใหญ่กว่า ต้นปี 2552 นครใหญ่แอชดอด (Ashdod) และ
เบียร์ชีบา ถูกจรวดยิง ในปี 2555
เยรูซาเล็มและศูนย์กลางพาณิชย์ของอิสราเอล
เทลอาวีฟ ตกเป็นเป้าของจรวด
[8] และในต้นเดือนกรกฎาคม 2557 นครไฮฟาทางเหนือตกเป็นเป้าครั้งแรก
[9] โปรเจกไทล์บางชนิดมีฟอสฟอรัสขาวซึ่งกล่าวกันว่ารีไซเคิลจากเครื่องกระสุนที่ไม่ระเบิดที่อิสราเอลใช้ทิ้งระเบิดกาซา
[10][11][12][13][14]กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ทุกกลุ่มลงมือโจมตีดังกล่าว
[15] และก่อนหน้า
สงครามกาซา ปี 2551–2552 ได้รับการสนับสนุนจากชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่อยู่เนือง ๆ
[16][17][18][19] แม้เป้าหมายที่แถลงไว้จะไม่ตรงกัน การโจมตีเหล่านี้ถูกประณามอย่างกว้างขวางเพราะมุ่งเป้าพลเรือน และสหประชาชาติ สหภาพยุโรปและข้าราชการอิสราเอลเรียกการโจมตีดังกล่าวว่าเป็นการก่อการร้าย และกลุ่มสิทธิมนุษยชน
องค์การนิรโทษกรรมสากลและ
ฮิวแมนไรต์วอชนิยามว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ประชาคมนานาชาติถือว่าการโจมตีไม่เลือกต่อพลเรือนและสิ่งปลูกสร้างพลเรือนซึ่งไม่แยกแยะระหว่างเป้าหมายพลเรือนและทหารมิชอบด้วยกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
[20][21]การป้องกันของอิสราเอลที่มีการก่อสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับอาวุธดังกล่าวโดยเฉพาะได้แก่ป้อมสนามสำหรับโรงเรียนและป้ายหยุดรถโดยสารประจำทางตลอดจนระบบเตือนภัยชื่อ เรดคะเลอร์ อิสราเอลพัฒนา
ไอเอิร์นโดม ระบบดักจับจรวดพิสัยใกล้ และมีการนำมาใช้ครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิปี 2554 เพื่อคุ้มครองเบียร์ชีบาและแอชคะลอน แต่ข้าราชการและผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจไม่ได้ผลอย่างสมบูรณ์ในวัฏจักรความรุนแรง การโจมตีด้วยจรวดสลับกับการปฏิบัติทางทหารของอิสราเอล นับแต่อินติฟาดาอัลอักซออุบัติ (30 กันยายน 2543) ถึงเดือนมีนาคม 2556 มีการยิงจรวด 8,749 ลูกและปืนครก 5,047 นัดต่ออิสราเอล
[22] ส่วนอิสราเอลดำเนินปฏิบัติการทางทหารหลายครั้งในฉนวนกาซา ครั้งล่าสุดได้แก่
ปฏิบัติการโพรเทกทิฟเอดจ์ (ปี 2557)