งานวิจัยทางคลินิก ของ BBIBP-CorV

ระยะที่ 1 และ 2

ในเดือนเมษายน 2020 จีนได้อนุมัติให้ทำการทดลองทางคลินิกแก่วัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพแห่งปักกิ่ง (Beijing Institute of Biological Products)[10]และโดยสถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพแห่งอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Biological Products) โดยทั้งสองเป็นส่วนของบริษัทไซโนฟาร์ม[11]วัคซีนทั้งสองเป็นวัคซีนที่ใช้ไวรัสโควิด-19 ที่ฆ่าด้วยสารเคมี

ในวันที่ 15 ตุลาคม สถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพแห่งปักกิ่งได้ตีพิมพ์ผลที่ได้ในงานวิจัยระยะที่ 1 (มีอาสาสมัครผู้ใหญ่ 192 คน) และระยะที่ 2 (448 คน) สำหรับวัคซีน BBIBP-CorV โดยแสดงว่าปลอดภัยและคนไข้อดทนต่อผลต่าง ๆ ได้ดีในยาทุก ๆ ขนาดที่ใช้ในกลุ่มการทดลองแบ่งโดยอายุเป็น 2 กลุ่มผู้รับวัคซีนทั้งหมดเกิดสารภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) ในวันที่ 42การทดลองเหล่านี้รวมผู้สูงอายุกว่า 60 ปี[10]

ในวันที่ 13 สิงหาคม สถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพแห่งอู่ฮั่นตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์ในระหว่าง (interim) การทดลองระยะที่ 1 (ผู้ใหญ่ 96 คน) แลระยะที่ 2 (224 คน)รายงานนี้ได้ให้ข้อสังเกตว่า วัคซีนแบบไวรัสโควิด-19 ที่ฆ่าแล้วมีผลไม่พึงประสงค์ในอัตราต่ำ และแสดงว่าก่อปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทาน (immunogenicity) แต่ความปลอดภัยและประสิทธิศักย์ก็ยังต้องประเมินด้วยการทดลองระยะที่ 3[11]วัคซีนนี้อาจมีคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างที่สามารถให้แก่ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาได้ดีเช่น สามารถเก็บและขนส่งได้ด้วยตู้เย็นปกติเทียบกับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่น Tozinameran ซึ่งแม้จะมีประสิทธิศักย์สูงกว่าคือเกินร้อยละ 90 แต่การแจกจำหน่ายก็เป็นปัญหาในบางประเทศ เพราะอาจต้องเก็บและขนส่งด้วยตู้แช่แข็งที่มีอุณหภูมิต่ำมาก[12]บริษัทไฟเซอร์และมอเดิร์นาเป็นผู้พัฒนาหนึ่ง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเออันใหม่เอี่ยม แต่ผู้ผลิตอื่น ๆ ก็มีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปีกับเทคโนโลยีแบบไวรัสฆ่าแล้วเช่นของไซโนฟาร์ม[12]

การทดลองระยะที่ 3

แอฟริกาและตะวันออกกลาง

ในวันที่ 16 กรกฎาคม ไซโนฟาร์มเริ่มทดลองวัคซีนในระยะที่ 3 กับอาสาสมัคร 31,000 คนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยร่วมมือกับบริษัท G42 Healthcare ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองอาบูดาบี[13]ในเดือนสิงหาคม อาสาสมัครทุกคนก็ได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว และจะได้รับโดสที่สองในอีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา[14]ในวันที่ 9 ธันวาคม กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Health and Prevention) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ประกาศอนุญาตให้ใช้วัคซีนอย่างเป็นทางการ หลังจากผลการวิเคราะห์การทดลองระยะที่ 3 ในระหว่าง (interim) แสดงว่า วัคซีนมีประสิทธิศักย์ร้อยละ 86 ต้านการติดเชื้อโควิด[4]วัคซีนมีอัตราสร้างสารภูมิต้านทานกำจัดฤทธิ์ (sero-conversion, neutralizing antibodies) ที่ร้อยละ 99 และมีประสิทธิภาพเต็มร้อยในการป้องกันการเป็นโรคในระดับรุนแรงและปานกลาง[3]

ในวันที่ 2 กันยายน บริษัทเริ่มทำการทดลองระยะที่ 3 กับอาสาสามัคร 600 คนในเมืองกาซาบล็องกาและราบัต (ทั้งสองในประเทศโมร็อกโก)[15][16]ในเดือนกันยายน ประเทศอียิปต์เริ่มการทดลองระยะที่ 3 ซึ่งจะดำเนินอยู่ปีหนึ่งและรับอาสาสมัคร 6,000 คน[17]

ในเดือนสิงหาคม 2020 ไซโนฟาร์มเริ่มทดลองวัคซีนระยะที่ 3 กับอาสาสมัคร 6,000 คนในประเทศบาห์เรน[18][19]จนถึงเดือนพฤศจิกายน ได้รับอาสาสมัครในการทดลองนี้แล้ว 7,700 คนโดยทั้งหมดได้วัคซีนโดสที่สองแล้ว[20]ในปลายเดือนสิงหาคม บริษัทก็ได้เริ่มการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในประเทศจอร์แดนกับอาสาสมัคร 500 คนด้วย[21][22]

อนึ่ง บริษัทยังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยการาจีเพื่อทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัคร 3,000 คน[23]ซึ่งถ้าสำเร็จ ปากีสถานจะได้รับวัคซีนต้น ๆ สำหรับประชาชนประมาณ 1/5 ของประเทศ[24]โดยในเดือนพฤศจิกายน รองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยได้แจ้งว่า วัคซีนจะมีใช้ในปากีสถานใน 6-8 สัปดาห์[23]

อเมริกาใต้

วันที่ 10 กันยายน ไซโนฟาร์มเริ่มทดลองวัคซีนระยะที่ 3 ในประเทศเปรูโดยมีแผนให้วัคซีนแก่คน 6,000 คนที่มีอายุระหว่าง 18-75 ปี[25]ในเดือนตุลาคม นักวิจัยประกาศว่าจะขยายการทดลองเพิ่มอาสาสมัครอีก 6,000 คน[26]ในวันที่ 12 ธันวาคม เปรูหยุดการทดลองวัคซีนชั่วคราวหลังจากมีอาสาสมัครคนหนึ่งอ่อนล้าที่ขาก่อนจะดำเนินการต่อในวันที่ 16[7]

ในวันที่ 16 กันยายน ประเทศอาร์เจนตินาได้เริ่มการทดลองระยะที่ 3 กับอาสาสมัคร 3,000 คน[27]