บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
วัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็น
วัคซีนที่มุ่งสร้าง
ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
ไวรัสโควิด-19ในช่วงก่อนเกิด
การระบาดทั่วของโควิด-19 งานพัฒนาวัคซีนสำหรับโรค
ไวรัสโคโรนาต่าง ๆ รวมทั้ง
กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส หรือ SARS) และ
โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส หรือ MERS) ได้สะสมความรู้พอสมควรเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของไวรัสโคโรนาซึ่งได้ช่วยเร่งการพัฒนา
เทคโนโลยีวัคซีนโควิดต่าง ๆ เมื่อต้นปี 2020จนถึงเดือนมกราคม 2021 มีวัคซีนแคนดิเดตซึ่งได้เข้าสู่
การวิจัยเพื่อใช้รักษาแล้ว 69 ชนิด ในจำนวนนี้ 19 ชนิดกำลังทดลองใน
ระยะที่ 1, 24 ชนิดใน
ระยะที่ 1-2, 6 ชนิดใน
ระยะที่ 2 และ 20 ชนิดใน
ระยะที่ 3[1]โดยวัคซีนซึ่งทดลองในระยะที่ 3 หลายอย่างได้แสดง
ประสิทธิศักย์ (efficacy) ป้องกัน
การติดเชื้อแบบแสดงอาการถึงอัตราร้อยละ 95จนถึงเดือนมกราคม 2021 มีวัคซีน 10 อย่างที่องค์กรควบคุมทางสาธารณสุขของรัฐอย่างน้อย 1 แห่งได้อนุมัติให้ฉีดแก่ประชาชนแล้วรวมทั้ง
วัคซีนอาร์เอ็นเอ 2 ชนิด (
Tozinameran ของบริษัท
ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคและ
mRNA-1273 ของโมเดิร์นา), วัคซีนซึ่งใช้
ไวรัสโควิด-19 ที่ฆ่าแล้ว 4 ชนิด (
BBIBP-CorV ของไซโนฟาร์ม,
BBV152 ของ Bharat Biotech,
โคโรนาแว็กของไซโนแว็ก และ WIBP ของไซโนฟาร์ม), วัคซีนที่ใช้
ไวรัสเป็นเวกเตอร์ 3 ชนิด (
Gam-COVID-Vac หรือ สปุตนิก 5 ของ Gamaleya Research Institute,
AZD1222 ของ
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด/
แอสตราเซเนกา และ
Ad5-nCoV ของแคนไซโนไบโอลอจิกส์) และวัคซีนเพปไทด์ 1 ชนิด (
EpiVacCorona [
ru])
[1]ประเทศต่าง ๆ มีแผนแจกจำหน่ายวัคซีนโดยจัดลำดับการให้ตามกลุ่มที่เสี่ยงเกิด
ภาวะแทรกซ้อน เช่น
ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่เสี่ยงติดแล้วแพร่โรค เช่น บุคลากรทางแพทย์
[2]จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2021 องค์กรสาธารณสุขรวม ๆ กันทั่วโลกรายงานว่า ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึง 94.91 ล้านโดสแล้ว
[3]ผู้ผลิต 3 รายซึ่งมีกำลังผลิตมากที่สุดคือ ไฟเซอร์ โมเดิร์นา และ
แอสตราเซเนการะบุว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 5,300 ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งสามารถให้แก่คน 3,000 ล้านคนทั่วโลกโดยแต่ละคนจะต้องได้สองโดสเพื่อให้สามารถป้องกันโรค
[4]แต่จนถึงเดือนธันวาคม ประเทศต่าง ๆ ก็ได้สั่งวัคซีนล่วงหน้าเกิน 10,000 ล้านโดสแล้ว
[4]โดยครึ่งหนึ่งเป็น
ประเทศรายได้สูงแม้จะมี
ประชากรเพียงร้อยละ 14 ของโลก
[5]เพราะ
ความต้องการวัคซีนสูงเยี่ยงนี้ในช่วงปี 2020-21
[5]ประชาชนของ
ประเทศกำลังพัฒนาที่จัดว่ามีรายได้น้อยอาจไม่ได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตเหล่านี้จนถึงปี 2023 หรือ 2024 จึงทำให้โปรแกรม
โคแว็กซ์จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ส่งวัคซีนได้ทั่วถึงกันทั่วโลก
[4][5]