เริ่มต้นเหตุการณ์ ของ กบฏทหารนอกราชการ

การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 03.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนามพลเอก เสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ จับกุม พลอากาศเอก ประพันธ์ ธูปะเตมีย์

ฝ่ายนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งเป็นพลเรือน ได้นำกำลังทหารส่วนหนึ่งและผู้นำสหภาพแรงงานเข้ายึดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และควบคุมตัวนายพิเชษฐ สถิรชวาล ผู้อำนวยการ ขสมก. ในขณะนั้น เพื่อนำรถขนส่งมวลชนไปรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเข้ามาร่วมด้วย[3]

ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วยพลเอก เทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชาการทหารบก รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชวลิต ยงใจยุทธ รองเสนาธิการทหารบก, พลโท พิจิตร กุลละวณิชย์ แม่ทัพภาคที่ 1 ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพลเอก ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ตั้งกองอำนวยการฝ่ายต่อต้านขึ้นที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เขตบางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าต่อต้าน และออกแถลงการณ์ตอบโต้ในนามพลเอก อาทิตย์ กำลังเอก กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5 ประกอบด้วยพลโท สุจินดา คราประยูร พลโท อิสระพงศ์ หนุนภักดี และพลอากาศโท เกษตร โรจนนิล รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 โดยพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีและพลเอกสิทธิ จิรโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในประกาศดังกล่าว[4]และยกเลิกในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ . 2528 เวลา 18.00 น.[5]

เมื่อเวลาประมาณ 09.50 น. รถถังของฝ่ายกบฏที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุและอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเข้าไปในบริเวณวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตสองคน คือ นีล เดวิส ชาวออสเตรเลีย และบิล แรตช์ ชาวอเมริกัน

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันรุนแรงขึ้นและมีการเจรจาเมื่อเวลา 15.00 น. โดยพลโท พิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล และพลเอก ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายกบฏ และทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ และถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 17.30 น.

ส่วนพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันนั้น แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส โดยทันที

เมื่อการกบฏล้มเหลว ผู้ก่อการ คือ พันเอก มนูญ รูปขจร และนาวาโท มนัส รูปขจร ได้ลี้ภัยไปประเทศสิงคโปร์และเดินทางไปอยู่ในประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนคณะที่เหลือให้การว่าถูกบังคับจากคณะผู้ก่อการกบฏ มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนี 10 คน

ทั้งนี่เชื่อกันว่าเบื้องหลังการยึดอำนาจครั้งนี้ พันเอก มนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึดเท่านั้น เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้มีอำนาจนำออกมาสมทบในภายหลัง และการก่อการครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจากมีใครบางคนที่ "นัดแล้วไม่มา"[6][7][1]