เหตุการณ์ ของ กบฏวังหลวง

ปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หมดอำนาจไปหลังการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2490 ได้นำกองกำลังส่วนหนึ่งเล็ดลอดเข้าประเทศมาจากประเทศจีนร่วมกับคณะนายทหารเรือส่วนหนึ่ง อาทิ พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ, พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ และอดีตเสรีไทยกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" นำกำลังยึดพระบรมมหาราชวังและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นกองบัญชาการ (จึงเป็นที่มาของชื่อกบฏในครั้งนี้) ในเวลาประมาณ 16.00 น. เรียกปฏิบัติการนี้ว่า "แผนช้างดำ-ช้างน้ำ" จากนั้นในเวลา 21.00 น. ประกาศถอดถอนรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนาย และได้ประกาศแต่งตั้ง นายดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และแต่งตั้ง พล.ร.ท. สินธุ์ กมลนาวิน เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยที่ทั้งสองคนนี้ไม่มีส่วนรู้เห็นอันใดกับการกบฏครั้งนี้[1]

นายปรีดีที่หลบหนีออกประเทศไปตั้งแต่รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 แอบเดินทางกลับมาโดยปลอมตัวเป็นทหารเรือและติดหนวดปลอมปะปนเข้ามาพร้อมกับกลุ่มกบฏ แต่มีผู้พบเห็นและจำได้[2]ซึ่งความจริงแล้ว ทางฝ่ายรัฐบาลก็รู้ตัวก่อนล่วงหน้าว่าอาจมีเหตุเกิดขึ้นได้[3] เพราะจอมพล ป.ก่อนหน้านั้นได้พูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยไว้ถึง 2 ครั้ง เช่น "เลือดไทยเท่านั้น ที่จะล้างเมืองไทยให้สะอาดได้" และได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุถึง 3 วัน[3]และมีพระบรมราชโองการประกาศสถานการณ์ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2492[4] รวมทั้งได้มีการฝึกซ้อมรบด้วยกระสุนจริงของทหารบกที่ตำบลทุ่งเชียงราก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหนังสือพิมพ์ได้ขนานนามการซ้อมรบครั้งนั้นว่า "การประลองยุทธ์ที่ตำบลทุ่งเชียงราก"[5]

ในระยะแรก ฝ่ายกบฏเหมือนจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ เพราะสามารถยึดสถานที่สำคัญและจุดยุทธศาสตร์ไว้ได้หลายจุด แต่ตกค่ำวันนั้นเอง ทหารฝ่ายรัฐบาลก็ตั้งตัวติดและสามารถยึดจุดยุทธศาสตร์กลับคืนมาได้ อีกทั้งกองกำลังทหารเรือฝ่ายสนับสนุนกบฏจากฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งกำลังหลักได้แก่ นาวิกโยธิน ก็ติดอยู่ที่ท่าน้ำบริเวณคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพราะน้ำลดขอดเกินกว่าปกติ แพขนานยนต์ไม่สามารถที่จะลำเลียงอาวุธและกำลังคนข้ามฟากไปได้[1] เมื่อน้ำขึ้นก็เป็นเวลาล่วงเข้ากลางคืน กองกำลังทั้งหมดมาถึงพระนครในเวลประมาณ 8.00 น.ของเช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงตอนนั้นฝ่ายกบฏก็เพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาลแล้ว ซึ่งตามแผนการนั้นจะต้องยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ๆ ไว้ให้ได้ก่อนเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ [6]

จุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารบกฝ่ายรัฐบาล และทหารเรือฝ่ายกบฏ เช่น ถนนวิทยุ, ถนนพระราม 4, ถนนสาทร, สี่แยกราชประสงค์, ถนนเพชรบุรี, ประตูน้ำ ตลอดจนถึงทางรถไฟสายตะวันออกและสถานีรถไฟมักกะสัน มีการยิงกระสุนข้ามหลังคาบ้านผู้คนในละแวกนั้นไปมาเป็นตับ ๆ เนื่องจากทหารบกฝ่ายรัฐบาลได้ตั้งแนวป้องกันมิให้ทหารเรือฝ่ายกบฏล่วงล้ำเข้ามาในพระนครได้มากกว่านี้ มีผู้ได้บาดเจ็บและล้มตายมากมายกันทั้ง 2 ฝ่าย[2]มีจำนวนผู้เสียชีวิต 10 ราย [7] โดยแบ่งเป็นทหารบก 4 นาย, ทหารเรือ 3 นาย และพลเรือนซึ่งเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ในอำเภอพญาไท 3 คน

ในส่วนของรัฐบาลได้ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492[8]และประกาศต่อเนื่องในวันที่ 29 มีนาคม ปีเดียวกัน[4]โดยครั้งนี้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการได้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีพระบรมราชโองการผ่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พลตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม มีการสู้รบกันในเขตพระนครอย่างหนักหน่วง โดย พล.ต.สฤษดิ์เป็นผู้ยิงปืนจากรถถังทำลายประตูวิเศษไชยศรีของพระบรมมหาราชวังพังทลายลง ในเวลาเช้ามืดของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ จนในที่สุด เวลาเย็นของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทั้ง 2 ฝ่ายก็หยุดยิง เมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ โดยผ่านการประสานของ พล.ร.ต.หลวงพลสินธวาณัติก์ นายปรีดี พนมยงค์ และ ร.อ.วัชรชัย ชัยสิทธิเวช รน. ซึ่งเป็นคนสนิทได้หลบหนีออกทางประตูเทวาภิรมย์ ด้านติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเรือข้ามฟากของ พล.ร.ท.ผัน นาวาวิจิตร[6]

หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ รัฐบาลได้แถลงเป็นเชิงไม่กล่าวโทษฝ่ายทหารเรือ แต่ประกาศออกไปว่า "เป็นการเข้าใจผิดกันระหว่างทหารบกและทหารเรือ" และอธิบายว่า "เป็นบุคคลแต่งตัวปลอมเป็นทหารเรือ มาร่วมก่อการจลาจลที่พระบรมมหาราชวัง"[6]

ในส่วนของนายปรีดีที่หลบหนีไปได้นั้น ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ได้ขอความช่วยเหลือจากนายสุธิ โอบอ้อม ปลัดอำเภอพระโขนง และได้ปรึกษากับนายอุดร รักษ์มณี ทั้งหมดได้ให้นายปรีดีหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งเป็นเคยฉางเกลือเก่าของบริษัท เกลือไทย เป็นบ้านร้างบนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณเชิงสะพานสาทรในปัจจุบัน โดยนายปรีดีหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านร้างหลังนี้นานถึง 5 เดือนเต็ม[6] และมีเศร้าโศกเสียใจมากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ถึงขนาดจะยิงตัวตาย เพราะที่ผ่านมานับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา ไม่เคยมีกบฏหรือรัฐประหารครั้งไหนที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ แต่ได้ถูกท่านผู้หญิงพูนศุขห้ามไว้[1] และต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง โดยกลับไปตั้งหลักยังประเทศจีน ในวันที่ 6 สิงหาคม ปีเดียวกัน

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์กบฏเกิดขึ้นและจบลงได้ไม่นาน ก็ได้มีการสังหารบุคคลสำคัญทางการเมืองลงหลายคน เช่น พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลและ พ.ต.โผน อินทรทัต ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบและอดีตเสรีไทย รวมทั้งการสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 11 คือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์, นายถวิล อุดล, นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ ซึ่งเป็นนักการเมืองในสายของนายปรีดี พนมยงค์ เป็นต้น รัฐบาลได้ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2492[9] [3][10][5]