พระราชประวัติ ของ กรมขุนวิมลพัตร

พระชนม์ชีพช่วงต้น

กรมขุนวิมลพัตรมีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าแมงเม่า บางแห่งออกพระนามว่า เม้า หรือเมาฬี[2] "บัญชีพระนามเจ้านาย" ในคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่าพระองค์เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศรี มีพระเชษฐาและพระภคินีร่วมพระชนกชนนีคือ พระองค์เจ้าหญิงผอบ, พระองค์เจ้าชายสถิต, พระองค์เจ้าชายพงศ์ และพระองค์เจ้าชายแตง[3]

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า หลังสงครามพระเจ้าอลองพญาในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ สมเด็จพระอนุชาธิราชให้สึกพระองค์เจ้าแมงเม่าจากชี นำมาถวายเป็นบาทบริจาริกาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว[4] ต่อมาจึงทรงยกเจ้าแมงเม่าเป็นพระอัครมเหสี[5] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็นกรมขุนวิมลพัตร[1] แต่ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมระบุว่าได้สถาปนาเป็นกรมหมื่นพิมลภักดี[6] และทรงให้มเหสีอื่น ๆ มียศถาบรรดาศักดิ์เสมอกัน[7] ส่วนบันทึกของบาทหลวงปีแยร์ บรีโก (Pierre Brigot) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส ระบุว่า "...ตั้งแต่สมัยก่อน ๆ มา พระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินเท่ากับเป็นกฎหมายในเมืองนี้ ครั้งมาในบัดนี้ เจ้านายผู้หญิงทุกองค์ก็มีอำนาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินและข้าราชการก็ต้องเปลี่ยนกันอยู่เสมอ..."[8] สอดคล้องกับพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียนได้ระบุว่าสมเด็จพระอนุชาธิราชมีพระราชดำรัสให้พระองค์เจ้าแมงเม่าสึกจากชีแล้วตั้งให้เป็นพระอัครมเหสีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความว่า "...แลสมเดจ์พระราชอนุชาเสดจ์ขึ้นเฝ้าพระเชษฐ์าอยู่เนือง ๆ ดำหรัสให้พระองค์จ้าวแมงเม่า ซึ่งทรงผนวดเปนชีอยู่นั้นลาผนวดออกมาเปนพระอัคะมเหษีพระเชษฐ์าธิราช"[9]

กรมขุนวิมลพัตรมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี บางแห่งออกพระนามเป็นศรีจันทเทวี (คำให้การขุนหลวงหาวัด)[7], ศิริจันทาเทวี (คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม)[6] หรือเจ้าฟ้าน้อย (คำให้การชาวกรุงเก่า)[1] หลังประสูติกาลมีการประโคมดนตรีสามครั้งตามโบราณราชประเพณี[5]

พระราชอำนาจ

พระนางมีบทบาททางการเมืองระดับหนึ่ง ดังที่ปีแยร์ บรีโก บาทหลวงฝรั่งเศสได้เขียนจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า "... บ้านเมืองแปรปรวน เพราะฝ่ายใน [พระราชชายา] ได้มีอำนาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินผู้มีความผิดฐานกบฏ ฆ่าคนตายเอาไฟเผาบ้านเรือนจะต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่ความโลภของฝ่ายในให้เปลี่ยนเป็นริบทรัพย์สิน ริบได้ก็ตกเป็นของฝ่ายในทั้งสิ้น พวกข้าราชการเห็นความโลภของฝ่ายใน ก็แสวงหาผลประโยชน์กับผู้ต้องหาคดีให้ได้มากที่สุดที่จะหาได้ จะได้แบ่งเอาบ้าง ความเดือดร้อนลำเค็ญก็ยิ่งทับถมราษฎรมากขึ้น..."[10] และบาทหลวงคนนี้ยังสรุปว่าการที่ฝ่ายในมีอำนาจนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้อาณาจักรอ่อนแอ และเป็นแบบอย่างให้เหล่าข้าราชการทำตาม[8]

ปลายพระชนม์

หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์, กรมขุนวิมลพัตร และเจ้านายพระองค์อื่น ๆ ต่างพากันหลบหนีพม่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เสด็จสวรรคต พม่าตามจับกรมขุนวิมลพัตรพระมเหสี พระราชบุตร และพระบรมวงศานุวงศ์อื่น ๆ กวาดต้อนไปยังกรุงอังวะ[2][11][12] โดยพระเจ้ามังระโปรดให้พระองค์รวมทั้งเจ้านายฝ่ายในพระองค์อื่นประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงอังวะ[13] พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสด็จสวรรคต

ใกล้เคียง

กรมขุนสุนทรภูเบศร์ กรมขุนวิมลพัตร กรมขุนสุรินทรสงคราม กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ กรมขุนรามินทรสุดา กรมขุนยี่สารเสนีย์ กรมขุนเสนาบริรักษ์ กรมขุนเทพทวาราวดี กรมขุนเสนีนุรักษ์ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์