ความคลี่คลายของกลอนสู่สมัยปัจจุบัน ของ กลอน

ฉันทลักษณ์ของกลอนพัฒนาถึงระดับสูงสุดระหว่างสมัยรัชกาลที่ 6 และสมัยรัชกาลที่ 7[4] เนื่องจากเทคโนลียีการพิมพ์ช่วยให้ความรู้ต่างๆ กระจายตัวมากขึ้น มีการตีพิมพ์ตำราแต่งคำประพันธ์และใช้เป็นแบบเรียนด้วย ทำให้เกิดแบบแผนการประพันธ์ที่อยู่ในกรอบเดียวกัน ดังนั้น งานกลอนในระหว่าง พ.ศ. 2486 - พ.ศ. 2516 จึงอยู่ในกรอบของฉันทลักษณ์ และพราวด้วยสัมผัสตามตำราอย่างเคร่งครัด

ความคลี่คลายของจำนวนคำและการใช้สัมผัสใน หลัง พ.ศ. 2516 ประเทศอยู่ในภาวะผันผวนทางการเมือง กลอนรูปแบบเดิมไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกแห่งยุคสมัยได้ กวีจึงได้เลือกใช้กลอนที่กำหนดจำนวนคำในวรรคโดยประมาณ ลดสัมผัสสระมาใช้สัมผัสอักษร ลดความเคร่งครัดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค ใช้เสียงหนัก-เบา สั้น-ยาว มาสื่ออารมณ์ความรู้สึก เลือกใช้คำง่าย ๆ แทนโวหารเก่าๆ ตลอดจนฟื้นฟูฉันทลักษณ์กลอนชาวบ้านมาใช้ในร้อยกรองมากขึ้น เช่น "กินดิน กินเมือง" ของ ประเสริฐ จันดำ หรือ "เพลงขลุ่ยผิว" ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น

ความคลี่คลายของจังหวะและสัมผัสนอก กวีบางคนเช่น อังคาร กัลยาณพงศ์ และ ถนอม ไชยวงศ์แก้ว เสนอกลอนที่จำนวนคำและจังหวะในวรรคไม่สม่ำเสมอ ตลอดจนรับสัมผัสไม่สม่ำเสมอทุกวรรค ตัวอย่าง โลก ดาราจักร และพระพุทธเจ้า ของ อังคาร กัลยาณพงศ์

ณ เวิ้งวิเวกเอกภพมหึมาและ ณ ดาราจักรอันหลากหลาย
จะหาหล้าไหนวิเศษแพร้วพรรณรายได้ดุจโลกมนุษย์สุดยากนัก ฯ
เกียรติยศ ลม ไฟ ดิน น้ำ ฟ้าพาหิรากาศห่อหุ้มไว้สูงศักดิ์
น่าทะนุถนอมค่าทิพย์แท้อนุรักษ์ประโยชน์หนักนั่นไซร้ให้สากล ฯ

ความคลี่คลายด้านรูปแบบ กวีสมัยปัจจุบันเสนอผลงานกลอนหลากหลายรูปแบบ จัดเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก ยึดฉันทลักษณ์กลอนประเภทต่างๆ เช่นของเดิม แต่ปรับกลวิธีใช้สัมผัสใน และยืดหยุ่นจำนวนคำ เป็นการย้อนรอยฉันทลักษณ์ของกลอนยุคก่อนสุนทรภู่ ได้แก่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, สุจิตต์ วงษ์เทศ, ประกาย ปรัชญา, ประเสริฐ จันดำ, ไพรวรินทร์ ขาวงาม เป็นต้น กลุ่มที่สองใช้เฉพาะสัมผัสนอกเป็นกรอบกำหนดประเภทงานว่าอยู่ในจำพวกกลอน ส่วนจำนวนคำ กลวิธี และท่วงทำนองอื่น ๆ เป็นไปโดยอิสระ ได้แก่ อังคาร กัลยาณพงศ์, ถนอม ไชยวงศ์แก้ว, วุธิตา มูสิกะระทวย, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ เป็นต้น