กะโหลกชิ้นสำคัญ ของ กะโหลกแก้ว

กะโหลกมิตเชล-เฮดจิส

กะโหลกมิตเชล-เฮดจิส (อังกฤษ: Mitchell-Hedges skull) เป็นกะโหลกชิ้นโด่งดังที่ถูกอ้างว่าพบในปี ค.ศ. 1924 โดยแอนนา มิตเชล-เฮดจิส (Anna Mitchell-Hedges) ลูกสาวบุญธรรมของนักผจญภัยและนักเขียนชาวอังกฤษ เอฟ เอ มิตเชล-เฮดจิส กะโหลกนี้เป็นประเด็นหลักในสารคดีปี ค.ศ. 1990 เรื่อง Crystal Skull of Lubaantun[11] กะโหลกนี้ได้รับการตรวจสอบโดยนักวิจัยของสถาบันสมิตโซเนียน และสรุปผลว่า "แทบจะเป็นของทำเลียนแบบจากกะโหลกของพิพิธภัณฑ์บริติช - แทบจะเป็นรูปเดียวกัน แต่มีการทำรูปบริเวณตาและฟันที่ละเอียดกว่า"[12] มิตเชล-เฮดจิส อ้างว่าเธอค้นพบกะโหลกนี้ฝังอยู่ใต้แท่นบูชาที่ถล่มในวิหารแห่งหนึ่งใน Lubaantun ประเทศบริติชฮอนดูรัส (ปัจจุบันคือประเทศเบลีซ)[13]

พิพิธภัณฑ์บริติช

กะโหลกแก้วของพิพิธภัณฑ์บริติชมีปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1881 จากในร้านค้าของพ่อค้าของโบราณ Eugène Boban ในปารีส ต้นตอของกะโหลกไม่มีระบุไว้ในแคตตาล็อกในเวลานั้น มีการกล่าวอ้างว่าเขาพยายามขายกะโหลกนี้ให้แก่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของเม็กซิโกในฐานะโบราณวัตถุของแอซเท็ก แต่ไม่สำเร็จ จากนั้นเขาได้ย้ายธุรกิจมาที่นครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาได้ขายกะโหลกนี้ให้กับ จอร์จ เอช ซิสสัน กะโหลกนี้ได้ไปจัดแสดงในงานพบปะของสมาคมอเมริกันเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในนครนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ. 1887 โดยจอร์จ เอฟ กุนซ์[14] ต่อมากะโหลกถูกขายต่อในงานประมูล ที่ซึ่งบริษัททิฟฟานีแอนด์โคได้ซื้อไป และขายต่อแก่พิพิธภัณฑ์บริติชในปี ค.ศ. 1897[15][2]

ในบัญชีโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์บริติชระบุข้อมูลของกะโหลกแก้วนี้ในส่วนแหล่งกำเนิดว่า "น่าจะมาจากยุโรป, ในคริสต์ศตวรรษที่ 19"[15] และบรรยายไว้ว่า "ไม่ใช่โบราณวัตถุยุคพรีโคบัมเบียนที่แท้จริง" ("not an authentic pre-Columbian artefact".)[16][17]

แหล่งที่มา

WikiPedia: กะโหลกแก้ว http://science.nationalgeographic.com/science/arch... http://cen.acs.org/articles/91/i9/Crystal-Skulls-D... https://api.semanticscholar.org/CorpusID:6012903 https://www.britishmuseum.org/explore/highlights/h... https://www.britishmuseum.org/explore/highlights/a... https://www.britishmuseum.org/the_museum/news_and_... https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2009ApPhA..94..8... https://api.semanticscholar.org/CorpusID:18204055 https://web.archive.org/web/20081204203153/http://... https://www.independent.co.uk/news/uk/this-britain...