การขโมยข้อมูล เป็นปรากฏการณ์ที่กำลังเพิ่มขึ้น โดยเกิดจากการที่
ผู้ดูแลระบบและพนักงานออฟฟิศ ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี เช่น
เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ รวมไปถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์พกพาที่สามารถเก็บข้อมูลดิจิทัล เช่น
ยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ ไอพอด และ
กล้องดิจิทัล โดยปกติแล้วพนักงานได้ใช้เวลาในการร่างสัญญา และข้อมูลของบริษัทที่เป็น
ความลับหรือมี
ลิขสิทธิ์ ดังนั้นเหล่าพนักงานอาจรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์บางส่วนต่อข้อมูลเหล่านั้น และอาจคัดลอก หรือ/และ ลบ บางส่วนของข้อมูลเหล่านั้นตอนออกจากบริษัท หรือแม้กระทั่งใช้ข้อมูลเหล่านั้นในทางผิดๆขณะถูกจ้าง บางครั้ง ลูกจ้างอาจเลือกที่จะใช้ความไว้วางใจในการเข้าถึงข้อมูลในทางที่ผิด และใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการเปิดโปงการประพฤติที่ไม่เหมาะสมของผู้ว่าจ้าง จากมุมมองของสังคมแล้ว การกระทำแบบ
วิสเซิลโบลว์เออร์นั้นอาจถูกมองในทางบวก
[1] และยังถูกปกป้องโดยกฎหมายในบางเขตอำนาจศาลเช่นในสหรัฐอเมริกาในขณะที่องค์กรส่วนใหญ่ได้นำ
ไฟร์วอลล์ และ
ระบบการตรวจสอบผู้บุกรุก มาใช้ มีไม่กี่องค์กรที่ที่คำนึงถึงอันตรายจากลูกจ้างซึงคัดลอกข้อมูลที่เป็น
ทรัพย์สิน และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อบริษัทอื่น ตัวอย่างที่พบได้โดยทั่วไปคือเมื่อพนักงานขายได้คัดลอก
ฐานข้อมูลการติดต่อของลูกค้าไว้เพื่อใช้ในอาชัพต่อไป ปกติแล้วนี่จะถือว่าเป็นการละเมิดสัญญาว่าจ้างอย่างชัดเจน
เชลซี แมนนิง เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน และ
Hervé Falciani การขโมยข้อมูลที่เป็นที่รู้จัก เป็นตัวอย่างของบุคคลที่อ้างตัวเองเป็น
วิสเซิลโบลว์เออร์และทำการขโมยข้อมูลคำว่าการขโมยข้อมูล จริงๆแล้วเป็นชื่อไม่เหมาะสม ด้วยความที่การขโมยข้อมูลนั้นไม่เหมือนกับการขโมยของ
โจร ตรงที่ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นเป็นการสร้างสำเนาโดยไม่ได้รับการอนุญาต และเจ้าของข้อมูลนั้นยังยังเข้าถึงข้อมูลได้