การประท้วงในประเทศอิหร่าน พ.ศ. 2562–2563 หรือมีอีกชื่อว่า
พฤศจิกาเลือด (
เปอร์เซีย: آبان خونین) เป็นกลุ่มการประท้วงของพลเมืองทั่ว
ประเทศอิหร่าน แรกเริ่มเกิดขึ้นจากการเพิ่มราคาค่าเชื้อเพลิงขึ้น 50%–200%
[11][12][13][14] และ (ในบางพื้นที่) นำไปสู่การเรียกร้องการล้มเลิก
รัฐบาลและ
ผู้นำสูงสุด แอลี ฆอเมเนอี[15][16]การประท้วงแรกเริ่มนั้นเป็นการชุมนุมโดยสันติในเย็นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2019 แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ขยายออกไปยังเมืองต่าง ๆ 21 เมือง มีวิดีโอต่าง ๆ ถูกอัปโหลดขึ้นออนไลน์มากมาย
[17][18][19][20][21] ในท้ายที่สุดการประท้วงนี้ได้กลายเป็นการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลที่รุนแรงและร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ประเทศอิหร่านเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐอิสลามเมื่อปี 1979
[22][23][24]รัฐบาลได้มีการตัดอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของข้อมูลการชุมนุมและยอดผู้เสียชีวิตบนอินเตอร์เน็ต ในท้ายที่สุดได้นำไปสู่การตัดอินเตอร์เน็ตเกือบหมดเป็นเวลาเกือบหกวัน
[25][26][27][28]ข้อมูลจาก
แอมเนสตี อินเตอร์แนชันแนลระบุว่ารัฐบาลอิหร่านมีการสั่งให้ยิงผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากบนหลังคา เฮลิคอปเตอร์ ที่ระดับใกล้เคียงกับระดับของการยิงปืนแมชชีน (machine gun fire) เพื่อสงบการชุมนุม นอกจากนี้
นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่าได้มีการเคลื่อนย้ายศพผู้ชุมนุมที่ถูกสังหารออกไปไว้ในที่ห่างไกลเพื่อปกปิดปริมาณผู้เสียชีวิตแท้จริงจากการโจมตีของรัฐบาลขณะชุมนุม แอมเนสตีระบุอีกว่าความพยายามเพื่อปกปิดความรุนแรงของรัฐบาลยังรวมถึงข่มขู่ครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตไม่ให้จัดพิธีศพหรือพูดคุยกับสื่อ
[24][29]มีผู้ประท้วง
ชาวอิหร่านมากถึง 1,500 รายที่ถูกสังหาร
[8][30][31] การโจมตีผู้ชุมนุมได้นำไปสู่การที่ผู้ชุมนุมบุกทำลายธนาคารรัฐ 731 แห่ง รวมถึงธนาคารกลางอิหร่าน, ฐานทัพของรัฐบาล 50 แห่ง, ศูนย์ศาสนาอิสลาม 9 แห่ง, การฉีกทำลายป้ายประกาศ
ต่อต้านอเมริกา และการทำลายภาพ โปสเตอร์ และรูปปั้นของผู้นำสูงสุด
แอลี ฆอเมเนอี และอดีตผู้นำสูงสุด
รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี