การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศมาเลเซีย เป็นส่วนหนึ่งของ
การแพร่ระบาดทั่วโลกของ
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจาก
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2) การตอบสนองทางการแพทย์และการเตรียมพร้อมต่อการระบาดของโรคใน
ประเทศมาเลเซียอยู่ภายใต้การดูแลของอธิบดีสาธารณสุข
นูร์ ฮิชัม อับดุลละฮ์ ภายใต้
กระทรวงสาธารณสุขของสองรัฐบาลที่ต่อเนื่องกัน
[2] โดยผู้ป่วยรายแรกในประเทศมาเลเซียได้รับการยืนยันในกลุ่มนักเดินทางจากประเทศจีน สู่
รัฐยะโฮร์ ผ่าน
ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 25 มกราคม
[3][4] ในขณะที่การระบาดในขั้นต้นจำกัดเฉพาะผู้ป่วยขาเข้า แต่คลัสเตอร์ในประเทศหลายแห่งได้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 สิ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดคือ
การชุมนุมทางศาสนา ตับลีฆญะมาอะห์ ใน
กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้ป่วยในประเทศ และผู้ป่วยขาเข้าในประเทศเพื่อนบ้าน
[5] ภายในสิ้นเดือนมีนาคม จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 30 รายเป็น 2,000 ราย ที่มีอยู่ในทุก
รัฐและดินแดนสหพันธ์ในประเทศเพื่อตอบสนองต่อผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลมาเลเซียซึ่งนำโดย
นายกรัฐมนตรี มุฮ์ยิดดิน ยัซซิน ได้กำหนดให้มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศที่เรียกว่า
มาตรการควบคุมการสัญจร ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2020
[6][7][8] เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม มาตรการควบคุมการสัญจรเหล่านี้ได้ทำให้การติดเชื้อในชีวิตประจำวันลดลงทีละน้อย ในการตอบสนอง รัฐบาลมาเลเซียมีความคืบหน้าในการผ่อนปรนข้อจำกัดการล็อกดาวน์ในเฟสที่ซวดเซ ซึ่งเริ่มต้นด้วย "มาตรการควบคุมการสัญจรแบบมีเงื่อนไข" (CMCO) ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
[9] ตามด้วย "มาตรการควบคุมการสัญจรในระยะฟื้นฟู" (RMCO) ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2020
[10] รัฐบาลมาเลเซียวางแผนที่จะยุติมาตรการควบคุมการสัญจรในระยะฟื้นฟูในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 แต่เนื่องจากมีการตรวจพบผู้ป่วยเข้าอย่างต่อเนื่องจึงมีการขยายมาตรการออกไปจนถึงสิ้นปีดังกล่าว
[11][12][13]การติดเชื้อ-19 ระลอกที่สามในประเทศเกิดขึ้นจาก
การเลือกตั้งของรัฐซาบะฮ์เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 และการระบาดหลายครั้งที่โรงงาน
ท็อปโกลฟในช่วงปลาย ค.ศ. 2020
[14][15] เพื่อเป็นการตอบสนองต่อผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศในช่วงปลาย ค.ศ. 2020 และต้น ค.ศ. 2021 รัฐบาลมาเลเซียได้คืนสถานะข้อจำกัดการบังคับใช้มาตรการควบคุมการสัญจรแบบมีเงื่อนไข และมาตรการควบคุมการสัญจรในระยะฟื้นฟูในรัฐส่วนใหญ่
[16][17] ภายในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 ผลกระทบที่ทำให้โควิด-19 มีผลต่อระบบการรักษาพยาบาลของประเทศนำไปสู่การรื้อฟื้นข้อจำกัดมาตรการควบคุมการสัญจรในรัฐต่าง ๆ ของมาเลเซียและดินแดนของรัฐบาลกลาง ซึ่งขยายไปถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ และจากนั้นถึง 4 มีนาคม ค.ศ. 2021
[18][19][20] นอกจากนี้ ยังมีการประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2021 โดยยังดีเปอร์ตวนอากงเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ จึงระงับ
รัฐสภากับ
สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ และมอบอำนาจฉุกเฉินของ
รัฐบาลมุฮ์ยิดดินจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2021
[21]เนื่องจากการลดลงของผู้ป่วยรายใหม่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม รัฐบาลจึงยกเลิกข้อจำกัดมาตรการควบคุมการสัญจรในรัฐและดินแดนส่วนใหญ่ของรัฐบาลกลาง
[22] โครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศมาเลเซียเริ่มขึ้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เพื่อให้เกิด
ภูมิคุ้มกันหมู่ต่อโรคโควิด-19 ในหมู่ประชาชนและผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศ
[23] ครั้นตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 หลายรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นได้ถูกจัดให้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของมาตรการควบคุมการสัญจรโดยรัฐบาล
[24][25][26][27][28][29] ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
สายพันธุ์ SARS-CoV-2 จากต่างประเทศที่ตรวจพบในมาเลเซีย ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 และจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงรื้อฟื้นมาตรการควบคุมการสัญจรอีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมถึง 7 มิถุนายน ค.ศ. 2021
[30][31]จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันแล้วกว่า 490,000 ราย โดยมีผู้ป่วยอยู่กว่า 52,000 ราย และผู้เสียชีวิตกว่า 2,100 ราย ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศนี้ติดอันดับสามในจำนวนผู้ป่วยรองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และอันดับสี่ของจำนวนผู้เสียชีวิตรองจากอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และพม่า
[32]