ประวัติ ของ การรัดเท้า

ต้นกำเนิด

มีข้อสันนิษฐานหลายประการเกี่ยวกับที่มาของการรัดเท้า[3] เล่ากันว่า ต๋าจี่ (妲己) พระสนมของพระเจ้าโจ้ว (紂) แห่งราชวงศ์ซาง มีเท้าแป (club foot) นางจึงขอให้พระเจ้าโจ้วรับสั่งให้สตรีทุกคนในราชสำนักผูกรัดเท้าจนมีรูปเหมือนเท้าของนาง เพื่อที่ว่าเท้าอันพิการของนางจะได้กลายเป็นมาตรฐานแห่งความงดงามและภูมิฐาน อีกเรื่องหนึ่งว่า พัน ยฺวี่หนู (潘玉奴) หญิงคณิกาคนโปรดของพระเจ้าเซียว เป่าเจฺวี้ยน (蕭寶卷) แห่งอาณาจักรฉีใต้ มีเท้าที่เล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ครั้นนางฟ้อนรำด้วยเท้าเปล่าไปบนพื้นอันประดับประดาด้วยดอกบัวทอง พระเจ้าแผ่นดินทรงพอพระทัยนักและตรัสว่า "ก้าวไหนมีบัวนั่น" (步步生蓮) เสมือนปัทมาวดี นางในตำนานซึ่งย่างก้าวไปที่ใดก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นใต้เท้านางเสมอ เชื่อกันว่า เรื่องหลังนี้เป็นที่มาของชื่อ "บัวบาท" (lotus feet) ที่ใช้เรียกเท้าที่ถูกรัดจนเล็กเรียว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเรื่อง พัน ยฺวี่หนู เคยรัดเท้าของนางหรือไม่ประการใด[4] อย่างไรก็ดี เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่า การรัดเท้านั้นเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าหลี่ อฺวี้ (李煜) แห่งอาณาจักรถังใต้ในสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร[1] เพราะพระเจ้าหลี่ อฺวี้ ทรงให้สร้างดอกบัวทองคำสูงหกฟุตตกแต่งด้วยเพชรนิลจินดา และให้เหย่า เหนียง (窅娘) พระสนม รัดเท้าด้วยผ้าขาวให้มีรูปดังจันทร์เสี้ยว แล้วขึ้นไประบำด้วยปลายเท้าบนดอกบัวประดิษฐ์นั้น[3][1] นางร่ายรำได้ประณีตงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ได้เห็น คนทั้งหลายจึงเอาอย่างนาง[5] สตรีชั้นสูงเริ่มรัดเท้าของตนบ้าง และการประพฤติเช่นนี้ก็แพร่หลายต่อ ๆ กันไป[6]

การรัดเท้าเป็นที่นิยมยิ่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ศตวรรษที่ 10–12) และงานเขียนที่ว่าด้วยหรืออ้างถึงการรัดเท้า ฉบับเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ปรากฏนั้น ก็ปรากฏว่า ทำขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 11[7][8] งานเขียนในศตวรรษที่ 12 ก็ยังบ่งบอกถึงความนิยมรัดเท้า เช่น จาง ปางจี (張邦基) นักเขียนในสมัยราชวงศ์ซ่ง ว่า เท้าที่ถูกรัดนั้นจะงามถ้ามีรูปโค้งและมีขนาดเล็ก[9][10] ครั้นถึงศตวรรษที่ 13 เชอ โร่วฉุ่ย (車若水) นักเขียนซึ่งยึดถือหลักเหตุผลนิยม เขียนตำหนิว่า "เด็กน้อยสี่ขวบห้าขวบไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็จับมารัดเท้าให้เล็กจนเด็กเจ็บไม่รู้จบรู้สิ้น จะเท้าเล็กกันไปเพื่ออะไร" (婦人纒腳不知起於何時,小兒未四五歲,無罪無辜而使之受無限之苦,纒得小來不知何用。)[11][12] แม้มีผู้ไม่เห็นด้วย แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่า ในศตวรรษที่ 13 นั้น หมู่ภริยาและธิดาของขุนนางนิยมรัดเท้ากันอย่างยิ่ง แต่วิธีรัดเท้าในสมัยราชวงศ์ซ่งเช่นที่พบตามศพต่าง ๆ นั้นแตกต่างจากที่ปฏิบัติกันในอีกหลายร้อยปีให้หลัง เพราะในช่วงราชวงศ์ซ่ง รัดเท้าโดยบิดหัวแม่เท้าขึ้น และเท้าไม่ได้เล็กเหมือนในสมัยหลัง จึงเกิดข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งว่า ความนิยมบีบรัดให้เท้าเล็กเพียงสามนิ้วจนเรียกกันว่า "บัวทองสามนิ้ว" นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง หากเกิดขึ้นภายหลัง[13][14]

หลายร้อยปีหลังการรัดเท้าเกิดนิยมขึ้นในราชวงศ์ซ่ง ปรากฏว่า การรัดเท้าเป็นที่ยึดถือปฏิบัติโดยทั่วกันในครอบครัวผู้ดี ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป[15] ครั้นปลายราชวงศ์ซ่ง ปรากฏว่า ชายบางคนมักบริโภคเครื่องดื่มด้วยถ้วยใบน้อยที่ติดไว้กับรองเท้าพิเศษสำหรับใส่เท้าที่ถูกรัด ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน มีบางคนดื่มกินโดยใช้รองเท้าพิเศษนั้นโดยตรง จึงเกิดสำนวนว่า "ซดบัวทอง" (toast to the golden lotus) และธรรมเนียมดังว่านี้มีอยู่จนปลายราชวงศ์ชิง[3]

เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 จำนวนสตรีจีนทั่วไปที่รัดเท้านั้นคิดได้ร้อยละ 40 ถึง 50 ส่วนสตรีชั้นสูงที่เป็นชาวฮั่นนั้นรัดเท้ากันทุกคน คิดเป็นร้อยละ 100[2] เท้าอันถูกรัดรึงจนแคบเล็กผิดธรรมชาตินั้นกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความงาม ทั้งเป็นเงื่อนไขแรก ๆ ในการหาคู่ สตรียากจนอยากได้สามีรวยก็อาจทำได้โดยมีเท้าสวย มีตัวอย่างในมณฑลกว่างตงเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 นั้น ยึดถือกันเป็นประเพณีว่า สำหรับครอบครัวชนชั้นล่าง ลูกสาวคนโตต้องถูกรัดเท้า จะได้เป็นกุลสตรี ส่วนลูกสาวคนรองลงมา ไม่ต้องรัดเท้า เพราะมีไว้ใช้งานต่างทาสหรือทำไรไถนา ในช่วงนี้ นิยมกันว่า เท้ายิ่งเล็กยิ่งดี ยิ่งเล็กได้สามนิ้วตามมาตราวัดของจีน (4 นิ้วตามมาตราตะวันตก) ก็ยิ่งประเสริฐ เท้าอันรัดจนเล็กนี้ถือเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตัวหญิงผู้ถูกรัดและแก่วงศ์ตระกูลของนาง[16][17] ความภาคภูมิใจดังกล่าวยังปรากฏผ่านรองเท้าและผ้าหุ้มที่เย็บปักด้วยไหมอย่างวิจิตรอลังการสำหรับไว้ใส่เท้าที่ถูกรัด อนึ่ง เพราะเท้าเล็กผิดรูป จึงจำต้องย่อเข่าเวลาเดิน จะได้ทรงตัวและเคลื่อนไหวสะดวก ชายบางคนเห็นว่า สตรีที่เดินด้วยท่าทางอย่างนี้ชวนให้กระสันรัญจวนใจเหลือประมาณ[18]

แม้จะยังเดินไปมาและทำงานในไร่นาได้ แต่หญิงที่ถูกรัดเท้าต้องประสบข้อจำกัดมากมาย ไม่เหมือนหญิงปรกติ กระนั้น ในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ก็ยังปรากฏว่า นักเต้นรำหญิงที่เท้าถูกรัดนั้นได้รับความนิยมสูง โดยให้เป็นนักแสดงละครสัตว์ที่ยืนบนม้าซึ่งกำลังวิ่งหรือพยศเป็นต้น เหล่าหญิงสาวชาวบ้านแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนานซึ่งเท้าถูกรัดยังจับระบำรำฟ้อนกันเป็นวงประจำถิ่นเพื่อแสดงให้นักท่องเที่ยวชมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20[19] ส่วนในท้องที่อื่น ๆ สตรีวัย 70 ถึง 80 ซึ่งเท้าถูกรัดนั้นจะคอยช่วยเหลือคนงานในทุ่งนาอย่างจำกัดจำเขี่ย มีปรากฏมาจนถึงช่วงเข้าศตวรรษที่ 21[2]

การยุติ

การคัดค้านการรัดเท้านั้นมีขึ้นในหมู่นักเขียนชาวจีนบางคนในช่วงศตวรรษที่ 18 ต่อมา ชาวฮากกาซึ่งสตรีไม่รัดเท้านั้นก่อกบฏเมืองแมนแดนสันติ และประกาศให้การรัดเท้าผิดกฎหมาย[20][21] เมื่อกบฏดังกล่าวถูกปราบราบคาบ เหล่านักเทศน์ศาสนาคริสต์จึงเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กหญิง พยายามโน้มนาวให้เห็นว่า การรัดเท้าเป็นประเพณีป่าเถื่อน นักเทศน์เหล่านี้ยังใช้วิธีการหลายหลากเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของชนชั้นสูงให้ได้ ทั้งการให้ศึกษา การแจกใบปลิวและแผ่นพับต่าง ๆ รวมถึงการกดดันรัฐบาลราชวงศ์ชิง[22][23] ในปี 1875 สตรีคริสต์ศาสนิกชนราว 60 ถึง 70 คนในเซี่ยเหมินประชุมกันโดยมีจอห์น แม็กกาววัน (John MacGowan) นักเทศน์ เป็นประธาน คนเหล่านั้นร่วมกันตั้ง "สมาคมเท้าปรกติ" (天足會) ขึ้นเพื่อรณรงค์ต่อต้านการรัดเท้า[24] กิจกรรมทั้งนี้ต่อมาได้รับความสนับสนุนจากขบวนการสตรีเพื่อความชั่งใจในพระคริสต์ (Woman's Christian Temperance Movement) ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 1883 และได้รับความอุปถัมภ์จากคณะนักเทศน์ซึ่งเห็นว่า อาจอาศัยคริสต์ศาสนาส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศต่าง ๆ ได้ หนึ่งในสมาชิกคณะนักเทศน์นี้ได้แก่ ทิโมที ริชาร์ด (Timothy Richard) ผู้มีอิทธิพลต่อการก่อตั้งจีนเป็นสาธารณรัฐในเวลาต่อมา[25]

ฝ่ายปราชญ์ชาวจีนที่มีใจรักการปฏิรูปก็ชวนกันเห็นว่า การรัดเท้าเป็นด้านมืดในวัฒนธรรมของตน ควรกำจัดทิ้งโดยเร็ว[26] ในปี 1883 คัง โหย่วเหวย์ (康有為) บัณฑิต จึงตั้งสมาคมต่อต้านการรัดเท้า (Anti-Footbinding Society) ขึ้นใกล้เมืองกว่างโจว จากนั้น กลุ่มคัดค้านการรัดเท้าก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดทั่วไปในประเทศ มีคำอ้างว่า ผู้ร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านการรัดเท้าในครั้งนั้นรวมกันได้ถึง 300,000 คน[27] ทว่า ขบวนการเหล่านั้นกลับชูเหตุผลด้านชาตินิยม แทนที่จะเป็นด้านสุขภาพอนามัย หรือด้านความมีประสิทธิภาพของชนชั้นแรงงาน[22] นักปฏิรูปหลายรายที่ได้อิทธิพลของลัทธิสังคมนิยมแบบดาร์วิน เช่น เหลียง ฉี่เชา (梁啟超) โฆษณาว่า การรัดเท้าทำให้บ้านเมืองอ่อนด้อย เพราะสตรีขี้โรคย่อมมีบุตรอ่อนแอ[28] จนเมื่อลุศตวรรษที่ 20 นักสตรีนิยม เช่น ชิว จิ่น (秋瑾) จึงเริ่มมีบทบาทในการต่อต้านการรัดเท้าบ้าง[29][30] ครั้นปี 1902 ซูสีไทเฮาออกกฎหมายป้องกันและปราบปรามการรัดเท้า แต่กฎหมายนั้นยกเลิกไปภายหลัง[31]

แหล่งที่มา

WikiPedia: การรัดเท้า http://www.historychannel.com.au/classroom/day-in-... http://www.executedtoday.com/2011/07/15/1907-qiu-j... http://wenxian.fanren8.com/08/05/5/8.htm http://travel.gather.com/viewArticle.action?articl... http://books.google.com/books?id=2Ifj9h4Z4YQC&pg=P... http://books.google.com/books?id=66u24WAyO_YC&pg=P... http://books.google.com/books?id=9X8EAAAAQBAJ&pg=P... http://books.google.com/books?id=Bx83dlLMPdMC&pg=P... http://books.google.com/books?id=qpNQ91M3BswC&pg=P... http://books.google.com/books?id=qpNQ91M3BswC&pg=P...