ช่วงหลัง: ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักรขบวนการเมืองแมนแดนสันติ (
จีนตัวย่อ: 太平天国运动;
จีนตัวเต็ม: 太平天國運動;
พินอิน: Tàipíng Tiānguó Yùndòng) หรือ
กบฏเมืองแมนแดนสันติ เป็นการก่อ
กบฏขนานใหญ่ หรือ
สงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ เกิดขึ้นใน
จักรวรรดิจีนช่วง ค.ศ. 1850–1864 ระหว่าง
ราชวงศ์ชิงที่
ชาวแมนจูเป็นผู้นำ กับรัฐ
เมืองแมนแดนสันติ (太平天國) ของ
หง ซิ่วเฉฺวียน (洪秀全)หง ซิ่วเฉฺวียน เป็นบัณฑิตสอบตกที่เข้ารีตเป็น
คริสต์ศาสนิก และอ้างตนเป็นน้องชายของ
พระเยซู เขาก่อตั้ง
ลัทธิบูชามหาเทพ (拜上帝教) ที่มุ่งหวังจะให้ประชาชนหันมานับถือศาสนาคริสต์ตามแบบของเขาที่มีการบูชาเทวดาต่าง ๆ ทั้งจะโค่นล้มราชวงศ์ชิง แล้วจัดการปฏิรูปบ้านเมืองขนานใหญ่
[5][6] การปฏิรูปของหง ซิ่วเฉฺวียน ไม่ได้เป็นไปเพื่อเอาชนชั้นรากหญ้าเข้าแทนที่ชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่พยายามจะสับเปลี่ยนระเบียบทางสังคมและจิตวิญญาณด้วย
[7] เมื่อถูกขุนนางท้องถิ่นห้ามปราม ลัทธิบูชามหาเทพก็
ลุกฮือที่จินเถียน (金田起義) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1851 รัฐบาลกลางจึงส่ง
ทัพธงเขียว (綠營兵) เข้าไปปราบ หง ซิ่วเฉฺวียน จึงออกหน้าประกาศตนเป็น "เจ้าฟ้า" (天王) แห่งประเทศที่เขาก่อตั้งใหม่ เรียกว่า "เมืองแมนแดนสันติ" แล้วจัดตั้งทัพมุ่งขึ้นเหนือเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1851 เพื่อโจมตีชาวแมนจู ครั้นวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1853 ทัพเมืองแมนแดนสันติยึด
หนานจิง (南京; "เมืองใต้") ไว้ได้ จึงเอาเป็นเมืองหลวง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "เทียนจิง" (天京; "เมืองฟ้า")ทัพกบฏยึดครอง
ภาคใต้ส่วนใหญ่ได้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนสามารถควบคุมฐานประชากรเกือบ 30 ล้านคน ลุกลามเป็น
สงครามเต็มรูปแบบ หลังจากยึด
เจียงซี (江西),
หูเป่ย์ (湖北), และ
อานฮุย (安徽) ได้แล้ว กบฏก็มุ่งหน้าไปยึด
เป่ย์จิง (北京) เมืองหลวงของราชวงศ์ชิง แต่ไม่สำเร็จ กระนั้น กองทัพราชวงศ์ชิงไม่สามารถหยุดยั้งการรุกคืบของกบฏได้ มีแต่กองกำลังทหารท้องถิ่นนอกประจำการของขุนพล
เจิง กั๋วฟาน (曾國藩) ที่เรียกว่า "
ทัพเซียง" (湘軍) เป็นกลุ่มหลักในการต่อต้านการกบฏช่วงหลัง เมืองแมนแดนสันติเริ่มอ่อนแอลงเพราะการชิงอำนาจกันเอง โดยเฉพาะใน
เหตุการณ์เทียนจิง (天京事變) เมื่อ ค.ศ. 1856 ที่
หยาง ซิ่วชิง (楊秀清) ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าบูรพา (東王) พยายามยึดอำนาจ แต่ล้มเหลวและถูก
เหวย์ ชางฮุย (韋昌輝) เจ้าอุดร (北王) ฆ่า ขณะที่ทัพของเจิง กั๋วฟาน ก็สามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ในเจียงซีกับหูเป่ย์คืนไปได้ อย่างไรก็ดี ใน
ยุทธการเจียงหนาน (江南之战) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1860 ทัพกบฏมีชัยเหนือทัพหลวงที่ล้อมหนานจิงไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1853 ขับไล่กองทัพรัฐบาลไปจากภูมิภาค และเปิดทางให้ตนรุกราน
เจียงซู (江苏) กับ
เจ้อเจียง (浙江) เป็นผลสำเร็จ ส่วนทัพของเจิง กั๋วฟาน ก็มุ่งลง
ฉางเจียง (長江) ไปยึด
อานชิ่ง (安慶) คืนจากกบฏได้ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1861ครั้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1862 เจิง กั๋วฟาน เข้าปิดล้อมหนานจิง เมืองหลวงของกบฏ และสามารถตั้งมั่นปิดเมือง แม้ฝ่ายกบฏที่มีกำลังมากกว่าพยายามจะขับไล่หลายครั้งก็ตาม การปิดล้อมทำให้อาหารในเมืองขาดแคลน หง ซิ่วเฉฺวียน เก็บผักป่ามาบริโภค ทำให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษจนเขาล้มป่วยลงถึง 20 วันและเสียชีวิตในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1864 เมื่อหง ซิ่วเฉฺวียน สิ้นใจแล้ว หนานจิงก็ถูกตีแตกใน
ยุทธการหนานจิง (南京之战) วันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1864 ครั้นหนานจิงแตกแล้ว เจิง กั๋วฟาน พร้อมด้วยผู้สนับสนุน เช่น
หลี่ หงจาง (李鴻章) กับ
จั่ว จงถัง (左宗棠) ก็ได้รับการสดุดีในฐานะผู้ช่วยราชวงศ์ชิงให้รอด และกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 กลุ่มกบฏที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยภายใต้การนำของ
หง เทียนกุ้ยฝู (洪天貴福) บุตรชายของหง ซิ่วเฉฺวียน ยังคงต่อสู้ต่อไปในเจ้อเจียง แต่หง เทียนกุ้ยฝู ถูกจับในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1864 และกองกำลังกบฏก็ถอยร่นไปเรื่อย ๆ จนถึง
กวั่งตง (广东) ที่ซึ่งกบฏคนสุดท้ายถูกปราบในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1866ประมาณว่า กบฏครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ 20–70 ล้านคนไปจนถึง 100 ล้านคน และอีกหลายล้านคนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ นับเป็นความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวงที่สุดในจีนนับแต่
ราชวงศ์ชิงพิชิตราชวงศ์หมิงได้ใน ค.ศ. 1644 ทั้งยังเป็นสงครามครั้งหนึ่งที่มีการนองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เป็นสงครามกลางเมืองที่สูญเสียเลือดเนื้อมากที่สุด และเป็นการขัดกันทางทหารที่ใหญ่หลวงที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19
[8]