การสังเคราะห์เวอเลอร์ เป็นการเปลี่ยน
แอมโมเนียมไซยาเนตไปเป็น
ยูเรีย[1] ปฏิกิริยาเคมีนี้ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1828 โดย
ฟรีดริช เวอเลอร์ขณะพยายามสังเคราะห์แอมโมเนียมไซยาเนต ปฏิกิริยาดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ
เคมีอินทรีย์สมัยใหม่ ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาเวอเลอร์จะเป็นการเปลี่ยนแอมโมเนียมไซยาเนต ซึ่ง
เกลือนี้ปรากฏเฉพาะเป็นสารตัวกลางที่ไม่เสถียรเท่านั้น เวอเลอร์สาธิตปฏิกิริยาดังกล่าวในสื่อตีพิมพ์ต้นฉบับที่มีชุดตัวทำปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน โดยมีทั้ง
กรดไซยานิกและ
แอมโมเนีย,
ซิลเวอร์ไซยาเนตกับ
แอมโมเนียมคลอไรด์,
เลดไซยาเนตกับแอมโมเนีย และ
เมอร์คิวรีไซยาเนตกับ
ไซยานาติกแอมโมเนีย (ซึ่งก็คือกรดไซยานิกกับแอมโมเนีย)
[2]ปฏิกิริยานี้สามารถแสดงโดยเริ่มต้นจาก
สารละลายโพแทสเซียมไซยาเนตกับแอมโมเนียมคลอไรด์ซึ่งจะถูกผสม ให้ความร้อนและทำให้เย็นอีกครั้ง หลักฐานเพิ่มเติมของการเปลี่ยนรูปทางเคมียังสามารถตรวจสอบได้จากการเติมสารละลายกรดออกซาลิกซึ่งได้ผลิตภัณฑ์เป็นยูเรียออกซาเลตโดยตกตะกอนสีขาว
[3]อีกทางหนึ่ง ปฏิกิริยาสามารถกระทำได้โดยเลดไซยาเนตกับแอมโมเนีย ปฏิกิริยาที่แท้จริงเกิดขึ้นเป็น
ปฏิกิริยาแทนที่คู่ซึ่งกันและกันแล้วก็เกิดเป็นแอมโมเนียมไซยาเนต เขียนเป็นสมการได้ดังนี้แอมโมเนียมไซยาเนต
แตกตัวเป็นแอมโมเนียและกรดไซยานิก
[4] ซึ่งทำปฏิกิริยากับยูเรียต่อในปฏิกิริยาการเพิ่มนิวคลิโอไฟล์ ตามด้วยโทเมอริกไอโซเมอไรเซชัน เขียนเป็นสมการได้ดังนี้การเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับกรดออกซาลิกช่วยทำให้สมดุลเคมีนี้สมบูรณ์การสังเคราะห์เวอเลอร์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่
สารประกอบอินทรีย์ถูกผลิตขึ้นจากตัวทำปฏิกิริยาอนินทรีย์ การค้นพบดังกล่าวได้ค้านทฤษฎีกระแสหลักในเวลานั้นที่เรียกว่า "ชีวิตนิยม" ซึ่งกล่าวว่าสารอินทรีย์มีอำนาจพิเศษหรือพลังชีวิตที่พบในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้สารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์มีเส้นแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ยูเรียถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1799 และก่อนหน้าการสังเคราะห์ดังกล่าวสามารถพบได้เฉพาะจากสิ่งมีชีวิตอย่างเช่น ปัสสาวะ