อิทธิพลของกาเลวาลา ของ กาเลวาลา

รูปปั้น 'ไวแนเมยเนน' โดย โรเบิร์ต สไตเจลล์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1870 ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์อาคารโปห์โยลา ในกรุงเฮลซิงกิ

มาร์คู เนียมิเนน (Marku Nieminen) ผู้อำนวยการสถาบันกาเลวาลาแห่งฟินแลนด์ หรือ จูมินเกโก กล่าวถึงอิทธิพลของ กาเลวาลา ว่า "หากมิใช่เพราะกาเลวาลา ฟินแลนด์คงไม่มีทางได้รับเอกราช และคงไม่มีภาษาเป็นของตัวเอง เราคงต้องใช้ภาษารัสเซียหรือภาษาสวีดิชแทน"[7] ราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ฟินแลนด์ยังตกอยู่ใต้การปกครองของรัสเซีย โดยที่ซาร์แห่งรัสเซีย ดำรงตำแหน่งแกรนด์ดยุคแห่งฟินแลนด์ด้วย แต่หลังจากที่รัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ตามมาด้วยความยุ่งเหยิงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งชาวฟินแลนด์ต้องส่งทหารไปร่วมรบในบอลติกด้วย ฟินแลนด์เริ่มตื่นตัวและพยายามประกาศตัวเป็นเอกราช[8] มีความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในฟินแลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักวิชาการ นักปรัชญา กวีและนักประพันธ์หลายคนต่างมีบทบาทสำคัญ เช่น เจ. แอล. รูนเบิร์ก นักกวี; เจ. วี. สเนลล์แมน รัฐบุรุษและนักปรัชญา ผู้ชูประเด็นความเป็นเอกลักษณ์ของภาษาฟินแลนด์ รวมถึงนักภาษาศาสตร์ เอเลียส เลินน์รูต ผู้เรียบเรียงงานมหากาพย์ กาเลวาลา[9] โดยที่ กาเลวาลา เป็นงานที่ได้รับเกียรติว่าไม่เพียงเป็นตำนานของชนท้องถิ่นแถบนั้น แต่เป็น "สัญลักษณ์" และได้รับยกย่องให้เป็น "มหากาพย์แห่งชาติ" ของฟินแลนด์[10] กาเลวาลา จึงมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศฟินแลนด์มาก ปรากฏผลงานสืบเนื่องอยู่มากมายในฟินแลนด์ ตั้งแต่ดนตรีไปจนถึงงานศิลปะ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อวัฒนธรรมอื่นๆ นอกประเทศฟินแลนด์ด้วยเช่นกัน มากน้อยแตกต่างกันไป

ในประเทศฟินแลนด์มีงานเฉลิมฉลอง "วันกาเลวาลา" ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของทุกปี อันเป็นวันครบรอบการตีพิมพ์ผลงานของเอเลียส เลินน์รูต เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835[11]

ชื่ออื่นๆ ในตำนาน กาเลวาลา ยังใช้เป็นชื่อวันเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ในฟินแลนด์ แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัววรรณกรรมโดยตรงก็ตาม รวมถึงนำไปใช้ตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ด้วย เช่น อาคารโปห์โยลา (Pohjola House) ในกรุงเฮลซิงกิ ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 ด้านหน้ามีป้ายสลักชื่อทั้ง "โปห์โยลา" และ "คุลแลร์โว" ปัจจุบันเป็นที่ทำการของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ยังมีธนาคารแห่งหนึ่งในฟินแลนด์ชื่อว่า ธนาคารซัมโป ซึ่งนำชื่อมาจากของวิเศษในเรื่อง กาเลวาลา นั่นเอง

ภาพวาด

ภาพวาด ไวแนเมยเนน โดย โรเบิร์ต วิลเฮล์ม เอคแมน

ศิลปินหลายคนสร้างผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก กาเลวาลา ผู้ที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ Akseli Gallen-Kallela ศิลปินชาวฟินแลนด์ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้วาดภาพมากมายเกี่ยวกับวรรณกรรม กาเลวาลา ผลงานของเขาถือเป็นงานเอกลักษณ์สำคัญของความเป็นประเทศฟินแลนด์[12][13]

ศิลปินชาวฟินแลนด์ในยุคจินตนิยมอีกคนหนึ่งที่นิยมวาดภาพประกอบวรรณกรรมเรื่อง กาเลวาลา คือ โรเบิร์ต วิลเฮล์ม เอคแมน ปรากฏภาพวาดเก่าแก่ภาพหนึ่งในปี ค.ศ. 1886 เป็นภาพไวแนเมยเนนกำลังเล่นพิณกันเตเล

Aarno Karimo เป็นศิลปินชาวฟินแลนด์อีกคนหนึ่งที่วาดภาพประกอบอันสวยงาม ชื่อ Kuva Kalevala (ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Pellervo-Seura ในปี ค.ศ. 1953) แต่เขาเสียชีวิตก่อนจะสร้างงานสำเร็จ ฮิวโก โอตาวา สานงานของเขาต่อโดยใช้แบบสเก็ตช์ดั้งเดิมของเขาเป็นแนวทาง

ปี ค.ศ. 1989 งานแปล กาเลวาลา เป็นภาษาอังกฤษแบบครบชุดครั้งที่สี่ ตีพิมพ์พร้อมกับภาพวาดประกอบอันงดงามของ Björn Landström

ดนตรี

ดนตรี นับเป็นสาขาที่ได้รับอิทธิพลจาก กาเลวาลา มากที่สุด เนื่องจากโดยพื้นฐานของ กาเลวาลา เป็นบทเพลงลำนำพื้นบ้านมาก่อน จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของกาเลวาลา จึงมีบทเพลงพื้นบ้านและบทกวีอยู่หลายบทที่เชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากกาเลวาลา

บทเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดว่าได้รับอิทธิพลจาก กาเลวาลา มาโดยตรง คืองานของนักแต่งเพลงคลาสสิกชื่อ ฌอง ซิบิเลียส (Jean Sibelius)[12] ผลงานอันโด่งดังของเขาจำนวน 12 ชุดมีพื้นฐานมาจาก กาเลวาลา รวมถึงเพลง กุลเลร์โว ซึ่งเป็นเพลงซิมโฟนีที่เขาแต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1892 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เขาเดินทางไปยังคาเรเลียด้วย[13] นอกจากนี้ยังมีเพลงโอเปราร่วมสมัยอีกสามเพลงแต่งโดย Einojuhani Rautavaara ได้แก่เพลง Sammon ryöstö, Marjatta และ Thomas

นอกเหนือจากงานเพลงคลาสสิก ยังมีวงดนตรีโปรเกรสซิฟร็อกของฟินแลนด์ในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 วงหนึ่งชื่อ "กาเลวาลา" ได้สร้างงานเพลงรวม 3 อัลบั้ม ปัจจุบันไม่สามารถหาซื้อซีดีได้แล้ว แต่มีชุดรวมเนื้อเพลงออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2004[14]

วงดนตรีเมทัลอีกวงหนึ่งของฟินแลนด์ชื่อ อะมอร์ฟิส (Amorphis) มีงานเพลงซึ่งใช้คอนเซปต์จากเรื่องกาเลวาลา โดยใช้บทแปลจากต้นฉบับดั้งเดิมมาใช้เป็นเนื้อเพลง[15] วงนี้เป็นที่รู้จักกันว่านิยมใช้เรื่อง กาเลวาลา ในการประพันธ์เพลง อัลบั้มของพวกเขาได้แก่ Tales from the Thousand Lakes, Elegy, Eclipse และ Silent Waters นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีโฟล์กเมทัลชื่อ Ensiferum ได้แต่งเพลงหลายเพลง เช่น "Old Man" และ "Little Dreamer" ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง กาเลวาลา เช่นกัน อัลบั้มของพวกเขาในปี 2006 ชื่อ Dragonheads เพลงที่สาม มีชื่อว่า "Kalevala Melody" เป็นการนำเนื้อหาจากตอน "Vaka vanha Väinämöinen" มาบรรเลงเป็นดนตรี

วรรณกรรมอื่น

"กุลเลร์โว" ของ Akseli Gallen-Kallela ตัวละครที่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมต่างๆ มากมาย

นอกจาก กาเลวาลา จะแปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 52 ภาษาแล้ว ยังมีการนำไปดัดแปลง หรือเล่าใหม่ หรือเสริมแต่งในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย

ตัวอย่างผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกาเลวาลา ที่สำคัญที่สุด คือผลงานของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ซึ่งเขายอมรับว่า กาเลวาลา เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่สำคัญยิ่งของเขาในการสร้างงานเขียน[16] ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์ในชื่อ ซิลมาริลลิออน ตัวอย่างอิทธิพลของผลงาน เช่น เรื่องราวโศกนาฏกรรมของกุลเลร์โว ได้เป็นพื้นฐานในการสร้างตัวละคร ทูริน ทูรัมบาร์ ใน นาร์น อิ ฅีน ฮูริน หรือ ตำนานบุตรแห่งฮูริน (รวมไปถึงเรื่องของดาบพูดได้ ที่วีรบุรุษผู้อาภัพใช้ในการปลิดชีพตัวเอง) นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลจากตัวละครอื่นในกาเลวาลา เช่น ลักษณะของ ไวแนเมยเนน ที่เป็นต้นแบบส่วนหนึ่งในการสร้างตัวละครพ่อมด ในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

บทแปลมหากาพย์ในภาษาเยอรมัน ได้เป็นแรงบันดาลใจต่อบทกวีของ ลองเฟลโลว์ ในปี ค.ศ. 1855 บทลำนำแห่งไฮยาวาธา ประพันธ์ขึ้นด้วยฉันทลักษณ์เดียวกัน (คือ trochaic tetrameter)[17] ทั้งยังส่งผลต่อนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เอียน วัตสัน ในการเขียน หนังสือแห่งมานา ทั้งสองเล่ม คือเรื่อง Lucky's Harvest และ The Fallen Moon[18]

มหากาพย์แห่งชาติเอสโตเนีย เรื่อง Kalevipoeg (เรียบเรียงโดย ฟรีดดริค ไรน์โฮลด์ ครูทซวาลด์ พิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1853) ก็ได้รับการเอ่ยถึงบ่อยครั้งว่าได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก กาเลวาลา เนื่องจากปรากฏชื่อของ ไวแนเมยเนน และ อิลมาริเนน ในบทกวีเหล่านั้นด้วย และเนื้อเรื่องชีวิตของ Kalevipoeg (บุตรชายของกาเลฟ) ก็มีความคล้ายคลึงกับชีวิตของ กุลเลร์โว อย่างมาก[19]

หนังสือที่มีชื่อเสียงอีกเล่มหนึ่ง คือหนังสือเด็กเรื่อง Koirien Kalevala (The Canine Kalevala) เขียนเรื่องและวาดภาพประกอบโดย เมารี คุนนัส (แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย ทิม สเตฟฟา)[20] หนังสือเล่มนี้ส่งอิทธิพลต่อนักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน คีโน ดอน โรซา ในการสร้างบทละครผจญภัยตอนหนึ่งของ โดนัลด์ ดั๊ก ชื่อ "ภารกิจกาเลวาลา" (The Quest for Kalevala)[21]

กวีและนักเขียนบทละครชาวฟินแลนด์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเคยได้รับรางวัล Neustadt Prize คือ ปาโว ฮาวิกโก (Paavo Haavikko) เป็นอีกผู้หนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีว่า ได้แรงบันดาลใจมาจาก กาเลวาลา ไม่น้อย[22]

เอมิล เพตาจา (ค.ศ. 1915 - 2000) เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซีชาวอเมริกัน ซึ่งมีเชื้อสายฟินแลนด์ ได้สร้างผลงานมากมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก กาเลวาลา ในหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในชุด "โอตาวาซีรีส์" คือ Saga of Lost Earth's (สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์, 1966) , Star Mill (สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์, 1966) , The Stolen Sun (สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์, 1967) , และ Tramontane (สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์, 1967) มีตัวละครซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายชาวโลก เป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษจากเรื่อง กาเลวาลา ที่จุติมาเกิดใหม่ และเริ่มการผจญภัยบน โอตาวา ดาวเคราะห์อันเป็นจุดกำเนิดของตำนานแห่งกาเลวาลา นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่นที่มิได้อยู่ในซีรีส์นี้ แต่ก็มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกาเลวาลา คือเรื่อง The Time Twister (สำนักพิมพ์เดลล์, 1968)[23]

เรื่องของกุลเลร์โว ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อนักเขียนนิยายแฟนตาซีชาวอังกฤษ ไมเคิล มัวร์ค็อค ในนวนิยายแฟนตาซีแนวดาบและเวทมนตร์ ว่าด้วยวีรบุรุษต่อต้านสังคมที่ชื่อ เอลริค แห่งเมลนิโบน[24]

ภาพยนตร์

ปี ค.ศ. 1959 มีการสร้างภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่างฟินแลนด์กับโซเวียต เรื่อง Sampo (หรือ วันที่โลกเป็นน้ำแข็ง) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของ แซมโป ใน กาเลวาลา[25]

ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 ภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่างฟินแลนด์กับจีน เรื่อง Jadesoturi (หรือ นักรบหยก) ออกฉายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 โดยใช้ กาเลวาลา มาเป็นโครงเรื่อง ภาพยนตร์ถ่ายทำทั้งในฟินแลนด์และประเทศจีน[26]

แหล่งที่มา

WikiPedia: กาเลวาลา http://altreligion.about.com/library/texts/kaleval... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/310127/K... http://scoop.diamondgalleries.com/public/default.a... http://www.economicexpert.com/a/Kullervo.htm http://www.kaiku.com/kalevalainhiawatha.html http://www.kiddiematinee.com/d-dayfroze.html http://news.nationalgeographic.com/news/2001/12/12... http://www.nodium.com/articles/398_jadesoturi-revi... http://www.progarchives.com/artist.asp?id=1588 http://www.world66.com/europe/finland/history