กุยเตียว (
เขมร: គុយទាវ, คุยทาว) หรือ
ประเทศเวียดนามเรียก
หูเตี๊ยวนามวาง (
เวียดนาม: Hủ tiếu Nam Vang; แปลว่า ก๋วยเตี๋ยวพนมเปญ)
[1] คือก๋วยเตี๋ยวน้ำชนิดหนึ่งของ
ประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก
อาหารจีน[2] ประกอบด้วย
เส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำซุปกระดูกหมูมีลักษณะคล้าย
ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของ
ประเทศไทย และมีเครื่องโรยหน้าใกล้เคียงกัน ถือเป็นอาหารยอดนิยม สามารถพบได้ทั่วไปตามตลาด ร้านค้าริมถนน และตามห้องแถวทั่วประเทศ ถือเป็นอาหารที่ชาวเขมรนิยมรับประทานในยามเช้า
[3] หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้กล่าวถึงความนิยมของกุยเตียวในหนังสือ ถกเขมร ไว้ว่า "...ที่เมืองเขมรนั้นเขากินก๋วยเตี๋ยวกันเป็นกอบเป็นกำเป็นล่ำเป็นสันจริง ๆ อาหารเช้าของชาวเขมรทั้งประเทศ ก็คือก๋วยเตี๋ยว ขาดเสียมิได้เป็นอันขาด [...] ก๋วยเตี๋ยวนั้นได้กลายเป็นอาหารประจำชาติของเขมรไปแล้วแน่แท้..."
[4] แต่อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน (มมป.) ให้ข้อมูลว่า ชาวกัมพูชารับประทานอาหารประเภทเส้นหรือกุยเตียวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ
[5]พจนานุกรมเขมร ฉบับ
ชวน ณาต ระบุว่า กุยเตียว เป็นคำยืมจาก
ภาษาแต้จิ๋วว่า ก๋วยเตี๊ยว (粿條)
[6] มีความหมายว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า หรือแปลว่า ก๋วยเตี๋ยวน้ำที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์สับ เครื่องโรยหน้า และเครื่องปรุงรสอื่น ๆ
[6]กุยเตียวมีลักษณะคล้ายกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของไทย ประกอบด้วยน้ำซุปกระดูกหมู ส่วนเครื่องโรยหน้าได้แก่ เนื้อวัว
ลูกชิ้น หมูยอ หรืออาหารทะเล อย่าง
กุ้ง และ
ปลาหมึก ปรุงรสด้วยพริกไทยดำ ซอสกระเทียมรสเผ็ดหวาน และมะนาวสดฝาน
[3][7] กินแนมกับ
ผักกาดหอม ถั่วงอก ต้นหอม[2] บนโต๊ะอาหารจะมี
ผงชูรส และพริกดอง
น้ำส้มสายชูทั้งเม็ด ตั้งไว้แก่ลูกค้าที่อยากปรุงรส
[3] หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวถึงรสชาติและเครื่องเคราของกุยเตียวในยุคก่อนไว้ว่า "...ว่ากันว่าโดยทั่วไปเขาใส่เครื่องน้อยกว่าเรามาก และรสนั้นก็มีแต่เค็ม เติมเผ็ดเอาตามใจชอบ ไม่มีเปรี้ยวมีหวาน และไม่ใส่ถั่วงอก ถั่วลิสง ใบหอม ฯลฯ อย่างของไทย..."
[4] ส่วน
บรรจบ พันธุเมธา ก็ได้อธิบายถึงก๋วยเตี๋ยวพนมเปญไว้ว่า "...เส้นก๋วยเตี๋ยวที่โดยมากใช้เส้นเล็กนั้น มีลักษณะคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยวจันทบุรี คือเส้นนิ่มแต่ไม่เปื่อย ก๋วยเตี๋ยวในพนมเป็ญเท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ลองมาออกจะมีรสชวนอร่อยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนเนื้อสัตว์ที่ใส่ประกอบนั้น บางวันเป็นกุ้ง บางวันเป็นปลาหมึก บางวันเป็นเครื่องในหมู ที่ข้าพเจ้ารู้ได้ดังนี้ก็เพราะกินแทบทุกวัน แต่ต้องไม่เกิน ๑๐.๓๐ น. จึงจะได้กิน ทั้งนี้เพราะเข้าขายกันเป็นอาหารเช้าดังกล่าวแล้ว คนจีนที่นี่คงไม่สันทัดในการทำหมี่ เพราะฉะนั้นเส้นบะหมี่จึงมีรสชาติแปลก รูปร่างก็ประหลาด..."
[8]