เมนูนำทาง
ขี้ผึ้งห่ออาหาร ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมพลาสติกห่ออาหาร และวัสดุห่ออาหารรที่ใช้ครั้งเดียวอื่น ๆ (ที่รีไซเคิลไม่ได้) จะไปสิ้นสุดลงในหลุมฝังกลบขยะ (บ่อขยะ) หรือลงสู่ทะเลและมหาสมุทร ห่อพลาสติกจะใช้เวลาหลายปีในการย่อยสลายและละลายสารเคมีบางส่วนลงในทะเล และบางส่วนระเหยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสัตว์ในธรรมชาติจากการติดรัด (เช่นแมวน้ำ หรือเต่าที่มีเชื่อกหรือถุงพลาสติกพันติดรอบคอ) การทับถม หรือกินเข้าไป [9]
ขี้ผึ้งห่ออาหาร จึงอาจเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับการช่วยลดขยะที่ย่อยสลายยาก และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ดีกว่าการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เช่น ถุงซิปล็อค และฟิล์มพลาสติกห่ออาหาร ขี้ผึ้งห่ออาหารมีศักยภาพในการช่วยลดขยะที่ย่อยสลายยาก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากปัญหามลภาวะจากขยะพลาสติก [10]
การผลิตและการบริโภคพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ มูลนิธิ Ellen McArthur Foundation ระบุว่ามีการผลิตพลาสติก 78 ล้านตันในปี 2556 เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2555 และ 40% ของจำนวนนี้ถูกฝังกลบ พลาสติกมากกว่า 8 ล้านตันระบายออกสู่มหาสมุทรต่าง ๆ ในแต่ละปี [11] ที่สำคัญคือ แสงแดดและการเคลื่อนไหวของน้ำทะเลอาจทำให้พลาสติกแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติก ซึ่งการกระจายตัวของพลาสติกเหล่านี้ในมหาสมุทรส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและชีวิตมนุษย์เองด้วย [12]
นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา แนวโน้มสู่ความยั่งยืนได้นำไปสู่การตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และการปฏิบัติที่ไม่ยั่งยืนอื่น ๆ ที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อม [10] บริษัทต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และได้จัดสรรทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น บริษัท อื่น ๆ ได้เกิดขึ้นที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลาสติกเป็นศูนย์ ขณะเดียวจัดหาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการใช้พลาสติก
ประมาณ 33-50% ของอาหารทั้งหมดที่ผลิตทั่วโลกถูกทิ้งโดยไม่ได้กิน (เช่น การจัดการทิ้งของหมดอายุตามคำแนะนำ การปอกส่วนที่ดูไม่น่ากินทิ้ง การกินเหลือ การประกอบอาหารและการจัดเลี้ยงอาหารมากเกินจำเป็น) [13] ความสูญเปล่านี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (30 ล้านล้านบาท) ต่อปี เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตอาหารต้องใช้ทรัพยากรมาก ที่มาพร้อมกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า (ขยายพื้นที่ในการผลิตวัตถุดิบอาหาร) มลพิษทางน้ำและอากาศ (จากการใช้น้ำในการผลิตการใช้เครื่องจักร และเคมีที่มากเกิน) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก [14] ในห่วงโซ่การผลิตและการบริโภคอาหาร "ครัวเรือน" เป็นส่วนที่สร้างขยะอาหารที่ใหญ่ที่สุด ในโลกตะวันตกขยะอาหารกว่า 50% เกิดขึ้นภายในบ้าน ในปี 2018 Schanes, Dobernig และGözetได้ทำการทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับขยะอาหารในครัวเรือนอย่างเป็นระบบและได้ข้อสรุปว่าครัวเรือนต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างความตั้งใจที่ดีในการป้องกันไม่ให้ขยะอาหารและความชอบในเรื่องรสชาติความสดความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร มีการทิ้งอาหารหรืออาหารเหลือทิ้งจึงมาพร้อมกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
การใช้งานหลักของขี้ผึ้งห่ออาหารคือ การถนอมอาหารภายในครัวเรือน ประมาณว่าอาหารประมาณ 1.3 พันล้านตันต่อปี ถูกทิ้ง ซึ่งสร้างทั้งความสูญเสียทางการเงิน และก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ [15] ขี้ผึ้งห่ออาหารอาจเป็นส่วนหนึ่งในการลดขยะอาหารได้ เนื่องจากทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ซึ่งช่วยให้อาหารคงความสดได้นานขึ้น ขี้ผึ้งห่ออาหารมีศักยภาพในการลดขยะอาหาร จากคุณสมบัติในการต่อต้านจุลินทรีย์ที่อาจป้องกันการเน่าเสียของผลิตภัณฑ์อาหาร [1]
เมนูนำทาง
ขี้ผึ้งห่ออาหาร ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใกล้เคียง
ขี้ผึ้งห่ออาหาร ขี้ผึ้ง ขี้หึงแหล่งที่มา
WikiPedia: ขี้ผึ้งห่ออาหาร //doi.org/10.1016%2Fj.jclepro.2018.02.030 //doi.org/10.1016/j.jclepro.2018.02.030 //doi.org/10.15414%2Fjmbfs.2017.7.2.145-148 //doi.org/10.15414/jmbfs.2017.7.2.145-148 http://plastic-pollution.org/ //www.worldcat.org/issn/0959-6526 //www.worldcat.org/issn/1338-5178 //www.worldcat.org/oclc/1083522573 https://www.crikey.com.au/2018/08/14/buying-reusab... https://www.upcyclestudio.com.au/blogs/sustainable...