เนื้อเรื่อง ของ ขุนหลวงวิลังคะ

ในสมัยของพระนางจามเทวีซึ่งปกครองเมืองหริภุญไชย ราว พ.ศ. 1300 นครหริภุญไชยเป็นนครของชนชาติมอญหรือเม็ง ขณะที่บริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ มีขุนหลวงวิรังคะเป็นกษัตรย์ชาวลัวะองค์ที่ 13 ของระมิงค์นครในราชวงศ์กุนาระ ทรงมีอิทธิฤทธิ์มีฝีมือในการพุ่งหอกเสน้าเป็นที่เลื่องลือ

ขุนหลวงวิรังคะมีความประสงค์จะอภิเษกกับพระนางจามเทวีแต่พระนางไม่ปรารถนาจะสมัครรักใคร่กับขุนหลวงลัวะ เพราะเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมต่ำกว่ามอญในสมัยนั้น ขุนหลวงได้ส่งทูตมาเจริญไมตรีขอนางอภิเษกด้วย พระนางก็ผัดผ่อนหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ เช่นขอให้ขุนหลวงสร้างเจดีย์ที่มีขนาดและลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย ให้ขุนหลวงพุ่งเสน้า (หอกด้ามยาวมีสองคม) มาตกที่ในเมือง พระนางจึงจะอภิเษกสมรสด้วย

ในครั้งแรกขุนหลวงวิรังคะได้พุ่งเสน้ามาตกที่นอกกำแพงเมืองหริภุญไชย ปัจจุบันเรียกว่า หนองเสน้า พระนามจามเทวีเกรงว่าขุนหลวงวิรังคะอาจจะพุ่งเสน้ามาตกยังเมืองได้ จึงนำเอาเศษพระภูษาของพระนางมาทำเป็นหมวกสำหรับผู้ชาย นำเอาใบพลูมาททำหมากสำหรับเคี้ยวโดยเอาปลายใบพลูมาจิ้มเลือดประจำเดือนของพระนางถวายแด่ขุนหลวง เมื่อได้รับของฝากจากพระนาง ขุนหลวงได้นำมาสวมลงบนศีรษะทำให้อำนาจและพลังของขุนหลวงเสื่อมลง

เมื่อพุ่งเสน้าครั้งต่อมา เสน้ามาตกที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ชาวบ้านเรียกว่า หนองเสน้า เช่นเดียวกัน เมื่อขุนหลวงเสื่อมวิทยาคุณเช่นนั้น ก็หนีออกจากบ้านเมืองไป ก่อนสิ้นชีวิตขุนหลวงวิรังคะได้ขอให้เสนาอำมาตย์นำศพของท่านไปฝังไว้ที่ที่สามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้ตลอดเวลา ทหารได้จัดขบวนศพของขุนหลวงจากเชิงดอยสุเทพ ขึ้นสู่บนดอยสุเทพ เพื่อหาสถานที่นั้น จนได้มาลอดใต้เถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง เรียกว่า เครือเขาหลง ซึ่งเชื่อว่าหากใครลอดผ่านจะทำให้พลัดหลงทาง จึงทำให้ขบวนแห่พลัดหลงกันไป

ขบวนแห่ศพขุนหลวงได้พากันพลัดหลง กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง นักดนตรีบางคนพลัดหลง ไปพร้อมกับเครื่องดนตรีของตน จนท้ายสุดเสนาอามาตย์ที่หามโลงศพของขุนหลวง ได้เดินทางไต่ตีนเขาไปทางทิศเหนือ ถึงบริเวณแห่งหนึ่งซึ่งจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้ตลอดเวลา ยอดภูเขานี้ชาวบ้านเรียกว่า ดอยคว่ำหล้อง