คิวบาและสหรัฐอเมริกามีความสนใจอีกฝ่ายตั้งแต่ก่อนขบวนการเอกราชของทั้งสองเสียอีก
สหรัฐอเมริกามีการเสนอแผนซื้อ
คิวบาจาก
จักรวรรดิสเปนหลายครั้ง เมื่ออิทธิพลของสเปนเสื่อมใน
แคริบเบียน สหรัฐอเมริกาค่อย ๆ ได้ฐานะภาวะครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมืองเหนือคิวบา โดยมีการถือหุ้นลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่และการนำเข้าและส่งออกส่วนใหญ่ในกำมือ ตลอดจนมีอิทธิพลแข็งแรงต่อกิจการการเมืองของคิวบาหลัง
การปฏิวัติคิวบาปี 2502 ความสัมพันธ์เสื่อมลงมากและมีลักษณะความตึงเครียดและการเผชิญหน้านับแต่นั้น สหรัฐอเมริกาไม่มีความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับคิวบา และคงการห้ามสินค้าซึ่งทำให้บริษัทสหรัฐอเมริกาไม่สามารถทำธุรกิจกับคิวบาโดยชอบด้วยกฎหมาย การเป็นผู้แทนทางทูตของสหรัฐอเมริกาในคิวบาจัดการโดยส่วนผลประโยชน์สหรัฐอเมริกาในกรุง
ฮาวานา เช่นเดียวกับมีส่วนผลประโยชน์คิวบาในกรุง
วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งต่างเป็นส่วนหนึ่งอย่างเป็นทางการของสถานทูตสวิสเซอร์แลนด์ของสองประเทศ สหรัฐอเมริกากำหนดการห้ามสินค้าเพราะ
การโอนทรัพย์สินของบริษัทสหรัฐเป็นของรัฐระหว่างการปฏิวัติ และแถลงว่า จะยังคงไว้นานตราบที่รัฐบาลคิวบายังปฏิเสธมุ่งหน้าทำให้เป็นประชาธิปไตยและเคารพ
สิทธิมนุษยชนมากขึ้น
[1] ด้วยหวังเห็นการทำให้เป็นประชาธิปไตยและการนำ
ทุนนิยมกลับมาใช้ประเภทซึ่งเกิดใน
ยุโรปตะวันออกหลัง
การปฏิวัติ ค.ศ. 1989 ขณะเดียวกัน หลายองค์การ รวมทั้ง
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเกือบเป็นเอกฉันท์ เรียกร้องให้ "ยุติการห้ามสินค้าเศรษฐกิจ พาณิชย์และการเงินนานหลายทศวรรษต่อคิวบาของสหรัฐ"
[2]วันที่ 17 ธันวาคม 2557 ประธานาธิบดีสหรัฐ
บารัค โอบามา และประธานาธิบดีคิวบา
ราอุล กัสโตร ประกาศการเริ่มกระบวนการปรับให้ความสัมพันธ์ระหว่างคิวบาและสหรัฐอเมริกาเป็นปกติ โดยมีการเจรจาลับในประเทศแคนาดาและ
นครรัฐวาติกัน[3] เป็นเวลาหลายเดือนก่อนหน้า และด้วยความช่วยเหลือของ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ความตกลงจะมีการยกเลิกการจำกัดการท่องเที่ยวของสหรัฐบางอย่าง การจำกัดเงินที่ส่งไปให้ลดลง และการตั้งสถานทูตสหรัฐในกรุงฮาวานา (ซึ่งถูกปิดตั้งแต่คิวบาไปฝักใฝ่สหภาพโซเวียตในปี 2504)
[4][5]