ประวัติ ของ คาซัดดูม

คาซัด-ดูม เป็นอาณาจักรของคนแคระที่ใหญ่ที่สุดในมิดเดิลเอิร์ธ เป็นอาณาจักรที่สวยงามภายใต้ เทือกเขามิสตี้ ซึ่ง ดูริน ผู้อมตะ (Durin The Deathless) กษัตริย์ของพวกเขาเป็นผู้บุกเบิก ตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง เป็นอาณาจักรของคนแคระ ในสายวงศ์ ลองเบียร์ด (Longbeard)

ดูริน มีชีวิตที่ยืนยาวและปกครองผู้คนของเขาหลายปี จนกระทั่งเขาเสียชีวิตก่อนสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง แต่วงศ์วานของเขาก็ยังสืบต่อมา และอาณาจักรของเขาก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นต่อมาหลายพันปี ภายในท้องพระโรงถูกประดับประดาไปด้วยแสงสว่างจากไฟและดนตรี พวกคนแคระร่ำรวยมั่งคั่งมากขึ้น เมื่อพวกเขาค้นพบแร่อันล้ำค่าสีเงิน สามารถตีเป็นแผ่นบางๆได้เรียกว่า มิธริล ซึ่งหาไม่ได้จากที่อื่นในมิดเดิลเอิร์ธ พวกเขาสร้างอาวุธที่มีความประณีตและสวยงามหลายสิ่ง เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับอาหารของพวกมนุษย์

ในยุคที่สอง ชื่อเสียงของความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรก็มีมากขึ้นอีก มีพวกคนแคระจำนวนมากอพยพมาเข้าร่วมจากเทือกเขาเอเร็ดลูอิน หรือเทือกเขาสีน้ำเงิน หลังจากที่โนกร็อดและเบเลกอสต์เมืองของพวกเขา ถูกทำลายในระหว่างสงครามแห่งความโกรธา และการปราบมอร์กอธในช่วงสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง ทำให้อาณาจักรแห่งนี้รุ่งเรืองอย่างมาก

ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรคาซัดดูมกับเหล่าเอลฟ์ เริ่มขึ้นในยุคที่สอง หลังจากสิ้นแผ่นดินเบเลริอันด์ พวกเอลฟ์ชาวโนลดอร์เดินทางออกมาทางตะวันออก และตั้งอาณาจักรของชาวโนลดอร์ลี้ภัยขึ้นที่ เอเรกิออน เชิงเทือกเขามิสตี้ด้านทิศตะวันตก ทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้เริ่มเปิดการทูตและการค้าระหว่างกัน นายช่างใหญ่ของคนแคระชื่อ นาร์วิ (Narvi) ได้สร้าง ประตูตะวันตก ของคาซัดดูมขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ฝ่ายเอลฟ์ก็ส่งช่างฝีมือเอกของตน คือ เคเลบริมบอร์ มาช่วยงานประดิษฐ์บนบานประตู เขาได้ใช้ อิธิลดิน แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่จะส่องแสงสว่างเรืองเมื่อโดนแสงจันทร์ มาจารึกภาพและอักขระบนบานประตู ข้อความบนบานประตูคือ "Ennin Durin aran Moria. Pedo mellon a mino" หมายถึง "ทวาราแห่งดูริน ลอร์ดแห่งมอเรีย จงเอ่ย สหาย และเข้ามา" เป็นข้อความปริศนาสำหรับผู้ทราบรหัสเปิดประตู ซึ่ง แกนดัล์ฟ โฟรโด และเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน ได้มาพบในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

ในช่วงเหตุการณ์เกี่ยวกับสร้างแหวนสามวงของพวกเอลฟ์นั้น เมื่อเซารอนล่วงรู้ว่าแหวนถูกสร้างโดยปราศจากการรู้เห็นของเขา เซารอนจึงเปิดศึกกับพวกเอลฟ์ อาณาจักรเอเรกิออน (Eregion) ถูกทำลาย เคเลบริมบอร์ถูกสังหาร ดูรินที่สาม ส่งกองทัพคนแคระเข้าช่วยเหลือพวกเอลฟ์ แต่พวกเขาต้องล่าถอย ทวารแห่งดูรินถูกปิดสนิทและเซารอนก็ไม่สามารถทลายประตูได้ เซารอนโกรธมากจึงสั่งให้พวกออร์คไล่ล่าคนแคระทันทีที่พบ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม การติดต่อกันระหว่างอาณาจักรของคนแคระ เป็นไปอย่างลำบากและถูกรังควานโดยพวกออร์ค

ระหว่างสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย พวกคนแคระจากคาซัดดูมได้ส่งกองทัพเข้าร่วมรบกับพวกมนุษย์และเอลฟ์ด้วย เซารอนพ่ายแพ้ แหวนเอกธำมรงค์หายสาบสูญ

เมื่อเซารอนกลับมาอย่างลับๆ ปีศาจร้ายก็หวนคืนพวกออร์คโจมตีพวกคนแคระในแถบเทือกเขามิสตี้ แต่พวกมันไม่สามารถเข้าถึงคาซัดดูมได้ คนแคระแห่งคาซัดดูมยังคงรักษาความมั่งคั่งอยู่ได้ แต่ทว่าประชากรเริ่มลดลงทีละเล็กน้อย เพราะพวกเขามัวแต่สนใจการขุดหาแร่มิธริลซึ่งหายากขึ้นทุกที

ระหว่างการขุดหาแร่ พวกคนแคระได้ค้นพบ อสูรกายร้ายที่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกใต้สุดของคาซัดดูม มันคือ บัลร็อก (Balrog) ปีศาจที่มีร่างเป็นไฟ มันหลบหนีจาก สงครามแห่งความโกรธา และมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เมื่อบัลร็อกถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ดูรินที่หกถูกบัลร็อกสังหาร และในปีต่อมาบุตรของเขาคือ นาอินที่หนึ่ง(Nain I)ก็ถูกสังหารเช่นกัน พวกคนแคระแห่งคาซัดดูมต่างหนีออกมาและอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย

หลังจากนั้นคาซัดดูมเป็นที่รู้จักกันในนาม 'มอเรีย' และน้อยคนนักที่จะกล้าเข้าไปในมอเรีย เซารอนส่งพวกโทรลล์ ออร์ค และปีศาจร้ายอื่นๆ มาอาศัยอยู่ที่นี่

จนกระทั่ง ธราอิน (Thrain) กษัตริย์พวกคนแคระ รวบรวมกำลังทำสงครามกับพวกออร์คในเทือกเขามิสตี้ กลายเป็นสงครามระหว่างออร์คและคนแคระครั้งใหญ่ เรียกชื่อว่า สงครามอซานูลบิซาร์ (Battle of Azanulbizar) พวกคนแคระเป็นฝ่ายชนะ แต่ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปต่อกรกับบัลร็อก

ต่อมา บาลิน (Balin) นำกองทัพคนแคระจากภูเขาโลนลี่ กลับมายังคาซัดดูม และสามารถไล่พวกออร์คที่เฝ้าทางเข้าอยู่ได้ แต่บาลินเป็นนายเหนือหัวแห่งมอเรียได้เพียงห้าปี ก็ถูกพวกออร์คสังหาร พวกคนแคระถูกโอบล้อมไว้ไร้ซึ่งทางออก และถูกสังหารทั้งหมด ก่อนที่คณะพันธมิตรแห่งแหวนจะเดินทางมาถึง ที่แห่งนี้ได้กลายเป็น สถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวเปรียบเหมือนนรกภายใต้ขุนเขาไปแล้ว