เศรษฐศาสตร์ของค่าจ้างขั้นต่ำ ของ ค่าจ้างขั้นต่ำ

การวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานของประเภทที่แสดงในหนังสือเรียนเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นกระแสหลัก บอกเป็นนัยว่า การกำหนดพื้นราคาเหนือค่าจ้างสมดุล กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้เกิดการว่างงาน[13][14] ซึ่งเป็นเพราะมีคนจำนวนมากต้องการจะทำงานโดยได้รับการจ่ายค่าแรงสูงกว่า แต่งานที่จ่ายค่าตอบแทนสูงก็จะมีน้อยเช่นกัน บริษัทจะเลือกผู้ที่เข้ามาสมัครงานเข้มข้นขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีทักษะหรือประสบการณ์น้อยกว่าจะไม่ถูกเลือกเข้าทำงาน

ตามแบบจำลองซึ่งแสดงอยู่ในหนังสือเรียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเกือบทุกเล่ม การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะลดการจ้างงานแรงงานค่าแรงต่ำ[15] หนังสือเล่มหนึ่งว่า

ถ้าค่าจ้างขั้นต่ำสูงขึ้นเพิ่มอัตราค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือเหนือระดับที่กำหนดโดยตลาดแรงงาน ปริมาณของแรงงานไร้ฝีมือที่ถูกรับเข้าทำงานจะตกลง ค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้บริการของแรงงานที่มีผลิตภาพต่ำสุด (และมีค่าแรงต่ำสุดเป็นลำดับ) ต้องออกจากตลาด ... ผลกระทบโดยตรงของกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำมีสองด้านอย่างชัดเจน แรงงานบางคน ซึ่งคาดว่าค่าแรงเก่าใกล้เคียงกับค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดไว้นี้ จะยินดีกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ส่วนคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานกลุ่มที่มีอัตราค่าแรงก่อนมีกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำต่ำที่สุด จะไม่สามารถหางานทำได้ พวกเขาจะถูกผลักให้เป็นคนตกงานหรือต้องออกจากตลาดแรงงานไป[16]

แผนภาพแสดงอุปสงค์และอุปทานของแรงงานคล้ายกับที่ปรากฏด้านขวามือนี้

กราฟแสดงแนวคิดกระแสหลักของตลาดแรงงาน

มีการสันนิษฐานว่าแรงงานเต็มใจจะทำงานนานขึ้นหากได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เขียนกราฟของความสัมพันธ์ระหว่างค่าแรงในแกนตั้งกับระยะเวลาทำงานเป็นชั่วโมงในแกนนอน เนื่องจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มจำนวนชั่วโมงทำงานด้วย เส้นอุปทานแรงงานจึงเป็นเฉียงขึ้นไป และถูกแสดงเป็นรูปเส้นลากขึ้นไปทางขวาบน[17]

สำหรับราคาของสถานประกอบการในการจ่ายค่าตอบแทน มีการสันนิษฐานว่าเมื่อจ่ายค่าตอบแทนสูงขึ้น นายจ้างจะต้องการให้ลูกจ้างทำงานเป็นเวลาสั้นลง ซึ่งเป็นเพราะว่า จะทำให้บริษัทห้างร้านเสียค่าใช้จ่ายไปกับการจ้างแรงงาน และดังนั้น จึงปรับลดจำนวนแรงงานที่จ้างลง หรือจ้างให้ทำงานสั้นลง เส้นอุปสงค์แรงงานจึงเขียนได้เป็นรูปเส้นตรงลากลงมาทางขวาล่าง[17]

เมื่อเขียนรวมเส้นอุปสงค์และอุปทานรวมกันจะทำให้สามารถพิจารณาผลกระทบของค่าจ้างขั้นต่ำได้ เริ่มจาก สมมุติว่าเส้นอุปทานและอุปสงค์แรงงานจะไม่เปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่มีค่าจ้างขั้นต่ำ แรงงานและนายจ้างจะปรับปริมาณแรงงานที่มีตามราคาจนกระทั่งปริมาณแรงงานที่เป็นอุปสงค์เท่ากับปริมาณแรงงานที่เป็นอุปทาน เข้าสู่ราคาดุลยภาพ ที่ซึ่งเส้นอุปสงค์และอุปทานตัดกัน แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเปรียบได้เหมือนกับพื้นราคาคลาสสิกของแรงงาน ทฤษฎีมาตรฐานว่า ถ้ากำหนดไว้เหนือราคาดุลยภาพ แรงงานที่ยินดีจะเข้าทำงานจะมีมากกว่าความต้องการของนายจ้าง ทำให้เกิดแรงงานส่วนเกิน นั่นคือ ภาวะว่างงาน[17]

หรืออาจกล่าวได้ว่า เศรษฐศาสตร์ที่เรียบง่ายและพื้นฐานที่สุด มีแนวคิดเปรียบเทียบว่าโภคภัณฑ์ก็เหมือนกับแรงงาน ตัวอย่างเช่น ข้าวสาลี การเข้าแทรกแซงกลไกราคาโดยเพิ่มราคาของโภคภัณฑ์นั้นจะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นแต่อุปสงค์ลดลง ผลคือ โภคภัณฑ์มีอุปทานส่วนเกิน เมื่อมีข้าวสาลีมากเกินไป รัฐบาลจะรับซื้อข้าวสาลีนั้นเอง แต่เนื่องจากรัฐบาลไม่ว่าจ้างแรงงานที่เป็นอุปทานส่วนเกิน แรงงานเหล่านี้จึงอยู่ในภาวะว่างงาน ซึ่งภาวะว่างงานจะต่ำกว่าหากไม่มีกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำเสียอีก[5]

ดังนั้น ทฤษฎีพื้นฐานบอกว่า การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยแรงงานที่ได้รับการเพิ่มค่าแรง แต่จะเป็นผลเสียแก่ผู้ที่ไม่ได้ถูกจ้าง หรือผู้ที่สูญเสียงาน เพราะบริษัทประหยัดเงินที่ใช้จ้าง แต่ผู้เสนอแนวคิดค่าจ้างขั้นต่ำยืนยันว่าสถานการณ์ซับซ้อนเกินว่าที่ทฤษฎีพื้นฐานจะอธิบายได้

ปัจจัยที่ซับซ้อนประการหนึ่งคือ ความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการผูกขาดการซื้อในตลาดแรงงาน ซึ่งนายจ้างเพียงคนเดียวมีอำนาจทางตลาดในการกำหนดค่าแรงที่จะจ่าย ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำอาจเพิ่มการจ้างงานได้ แม้ว่าอำนาจทางตลาดในนายจ้างเพียงคนเดียวไม่น่าจะมีอยู่ในตลาดแรงงานส่วนใหญ่ก็ตาม[18]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ค่าจ้างขั้นต่ำ ftp://repec.iza.org/RePEc/Discussionpaper/dp4433.p... http://www.chinadaily.com.cn/hkedition/2008-10/16/... http://www.amazon.com/dp/0198607679 http://www.amazon.com/dp/0465002609 http://www.economist.com/world/na/displaystory.cfm... http://books.google.com/books?id=ax6dsqMdPHQC&dq=%... http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cac... http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cac... http://www.nationalreview.com/comment/tupy20040514... http://www.opinionjournal.com/weekend/hottopic/?id...