อาชีพการงาน ของ จอร์จ_ดับเบิลยู._บุช

อาชีพนักธุรกิจ

บุชเริ่มอาชีพนักธุรกิจค้าน้ำมันในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ซึ่งเป็นปีที่เขาก่อตั้ง "อาร์บุสโต แอร์เนอจี" บริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซขึ้น ด้วยเงินส่วนที่เหลือจากกองทุนเพื่อการศึกษาของเขา กับเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุน รวมถึงโดโรธี บุช ลิววิส เลห์แมน วิลเลียม เฮนรี เดรปเปอร์ ที่สาม บิล แกมเมล และเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งเป็นตัวแทนของซาลิม บิน ลาเดน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) บุชได้ขายกิจการไปเนื่องจากเจ็บตัวจากช่วงแรกเริ่มของวิกฤตการณ์น้ำมันปี พ.ศ. 2522 และได้เปลี่ยนชื่อ "บุช เอ็กพลอเรชัน คอมพานี" เป็น "สเป็กตรัม เซเวน" ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซอีกแห่งที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส ภายใต้เงื่อนไขของการขายกิจการ บุชได้กลายเป็นซีอีโอ ของบริษัท ต่อมา "สเป็กตรัม เซเวน" มีรายได้ลดลง จึงถูกรวมเข้ากับ"ฮาร์เกน แอร์เนอจี คอร์ปอเรชัน" ในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) โดยมีบุชเป็นผู้อำนวยการ

หลังจากที่ได้ช่วยงานบิดาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) จนประสบความสำเร็จ บุชได้ทราบจากนายวิลเลียม เดวิท จูเนียร์ เพื่อนที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยลว่า นายเอ็ดดี ชีลส์ เพื่อนของครอบครัวเขาต้องการขายเฟรนไชส์ของทีมเท็กซัส เรนเจอร์ ซึ่งเป็นทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) บุชได้รวบรวมนักลงทุนได้กลุ่มหนึ่ง จากบรรดาเพื่อนสนิทของบิดา รวมทั้งนายโรแลนด์ ดับเบิลยู. เบ็ทส์ เพื่อนรักของพ่อ กลุ่มนักลงทุนนี้ได้ซื้อหุ้น 86 % ของทีมเรนเจอร์ มาด้วยมูลค่าราว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บุชได้รับส่วนแบ่งหุ้น 2% ด้วยการลงทุนเป็นเงิน 606,302 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ในจำนวนนั้น มีเงิน 500,000 ดอลลาร์ที่ได้มาจากการกู้ธนาคาร บุชจ่ายเงินกู้ด้วยการขายหุ้นของฮาร์เกน แอร์เนอร์จีไปรวมมูลค่า 848,000 ดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่ปรึกษา ฮาร์เกนสูญเสียรายได้อย่างมากหลังจากการขายหุ้นของบุช ทำให้บุชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คณะกรรมาธิการความมั่นคงและการแลกเปลี่ยนของสหรัฐ สรุปว่าบุชได้มี "แผนการที่วางไว้ล่วงหน้า" ว่าจะขายหุ้น และบุช "มีบทบาทเพียงน้อยนิดในการบริหารฮาร์เกน" ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าบุชขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน[16][17][18][19]

ในฐานะหุ้นส่วนร่วมบริหารของทีมเรนเจอร์ บุชได้ช่วยในด้านการประสานงานกับสื่อและการก่อสร้างสเตเดียมแห่งใหม่ [20] บทบาทของเขาต่อสาธารณชนได้ทำให้เกิดแรงสนับสนุนของอาสาสมัครที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง และทำให้ชื่อของบุชเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐเท็กซัส แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักแล้วก็ตาม จากการมีพ่อที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดช่วงเวลาดังกล่าว [21]

อาชีพนักการเมือง

บุชเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองของเขาด้วยการช่วยการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของบิดาในปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) และ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง หลังจากถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งในกองกำลังป้องกันประเทศสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) เขาก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐแอละแบมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) บุชสมัครต้องการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเข้าชิงที่นั่งส.ส.รัฐเท็กซัส แต่ก็พ่ายต่อนายเคนท์ แฮนซ์ ที่เป็นวุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส โรนัลด์ เรแกนได้แต่งตั้งคู่แข่งของบุชเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งในการเลือกรายชื่อผู้สมัครขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน

ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) บุชได้สมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเท็กซัส แข่งกับแอน ริชาร์ด เจ้าของธุรกิจผู้ได้รับความนิยมสูงจากพรรคเดโมแครต โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 เขาสามารถเอาชนะริชาร์ดไปได้ด้วยคะแนนเสียง 53 % ต่อ 46 % ในปีเดียวกันนี้เอง เขากํบหุ้นส่วนได้ขายทีมเท็กซัส เรนเจอร์ อันทำให้บุชได้กำไรไปกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะผู้ว่าการรัฐ บุชได้เข้าเป็นแนวร่วมทางการเมืองกับบ็อบ บุลล็อก รองผู้ว่าการรัฐเท็กซัสผู้มีอิทธิพล และอยู่กับพรรคเดโมแครตสมานาน ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) บุชได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอีกครั้ง อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงเกือบๆ 69 % และได้กลายเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยแต่ละสมัยมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ก่อนปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) วาระดำรงตำแหน่งคือสองปี) [22]

ตลอดระยะเวลาที่บุชดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เขาได้ดำเนินการแก้กฎหมายสำคัญๆหลายข้อ ที่ว่าด้วยระบบความยุติธรรมทางอาญา กฎหมายละเมิด และการให้เงินสนับสนุนโรงเรียน บุชได้เลือกแนวทางที่ยากลำบากเมื่อเขาสนับสนุนการประหารชีวิต และได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากทนายความที่ต้องการให้ยกเลิกโทษประหาร และจากผู้ที่โต้แย้งว่ากฎหมายของรัฐเท็กซัสมีจุดบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด จนต้องนำโทษประหารมาใช้อย่างระมัดระวัง

ภายใต้การนำของบุช อัตราการจำคุกของรัฐเท็กซัส อยู่ที่นักโทษ 1014 คน ต่อประชากร 100,000 คนในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับสองจากการสำรวจทั่วสหรัฐ อันเนื่องมาจากการขยายเวลารับโทษจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2542 บุชได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเจตจำนงของผู้ป่วยที่ระบุไว้ล่วงหน้า ซึ่งอนุญาตให้หน่วยงานสาธารณสุขเอาเครื่องช่วยชีวิตออก โดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมก็ได้ เป็นเวลาสิบวันหลังจากได้รับถ้อยแถลงจากผู้ป่วย โครงการปฏิรูปต่างๆของบุช รวมทั้งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทำให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการเมืองในระดับประเทศ

แหล่งที่มา

WikiPedia: จอร์จ_ดับเบิลยู._บุช http://wwf.ca/HowYouCanHelp/DoNotDrill/media/anwr_... http://www.americanthinker.com/2004/02/gwb_hbs_mba... http://www.boston.com/news/nation/washington/artic... http://archives.cnn.com/2000/ALLPOLITICS/stories/1... http://archives.cnn.com/2000/HEALTH/08/24/NIH.stem... http://www.cnn.com/2000/ALLPOLITICS/stories/11/02/... http://www.cnn.com/2004/TECH/space/01/14/bush.spac... http://www.cnn.com/2005/POLITICS/05/24/stem.cells/ http://www.cnn.com/2005/POLITICS/11/29/bush.immigr... http://www.cnn.com/ALLPOLITICS/stories/1998/11/03/...