หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต (
ฝรั่งเศส: Louis-Napoléon Bonaparte ลูย-นาปอเลอง บอนาปาร์ต) ชื่อเกิดว่า
ชาร์ล-หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต (
ฝรั่งเศส: Charles-Louis Napoleon Bonaparte) เป็น
ประธานาธิบดีเพียงคนเดียวแห่ง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สอง เป็นบุคคลแรกที่ประชาชน
เลือกตั้งโดยตรงให้ดำรงตำแหน่งนี้ อยู่ในตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 1848–52 แต่รัฐธรรมนูญมิให้ดำรงตำแหน่งซ้ำ จึง
ยึดอำนาจรัฐบาลตนเองแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดินามว่า
นโปเลียนที่ 3 (
ฝรั่งเศส: Napoleon III) แห่ง
จักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง อยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิช่วง ค.ศ. 1852–70ทรงเป็นพระราชนัดดาใน
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และขึ้นเป็นจักรพรรดิเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1852 วันครบรอบ 48 ปีการราชาภิเษกของนโปเลียนที่ 1 ทั้งนี้ นโปเลียนที่ 3 อยู่ในตำแหน่ง
ประมุขแห่งรัฐฝรั่งเศสยาวนานที่สุดนับแต่
ปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นต้นมาในช่วงแรกแห่งการเถลิงราชย์ รัฐบาลนโปเลียนสั่งให้มี
การตรวจพิจารณาและใช้มาตราการแข็งกร้าวต่อเหล่าผู้ต่อต้าน ในระยะเวลานับแต่เขาขึ้นครองราชย์จนถึง ค.ศ. 1859 มีผู้ถูกจับกุมคุมขังหรือเนรเทศไปยัง
ทัณฑนิคมกว่า 600 คน ทั้งมีผู้ยอมเนรเทศตัวเองออกนอกประเทศฝรั่งเศสอีกหลายพันคน ในจำนวนนี้รวมถึง
วิกตอร์ อูโก (Victor Hugo) นักประพันธ์ผู้เลื่องชื่อ
[1] อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ ค.ศ. 1862 สืบมา นโปเลียนผ่อนคลายความเข้มงวดในการตรวจพิจารณาลง และเปิดเสรีมากขึ้นจนทำให้ดินแดนฝรั่งเศสได้ชื่อว่า "จักรวรรดิเสรี" (Liberal Empire) ผู้ต่อต้านเขาหลายคนจึงเดินทางกลับเข้าประเทศ และร่วมเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (National Assembly)
[2]ทุกวันนี้ นโปเลียนที่ 3 เป็นที่รู้จักเพราะจัด
การบูรณะกรุงปารีสขนานใหญ่ ซึ่งมี
บารอนโอสมาน (Baron Haussmann) เป็นแม่กอง นโปเลียนที่ 3 ยังดำเนินโครงการ
โยธาหลวงในหลายเมือง เช่น
มาร์แซย์,
ลียง เป็นต้น
[3]อนึ่ง นโปเลียนที่ 3 ยังปรับปรุงระบบธนาคารในประเทศให้ทันสมัย ขยายระบบรถไฟ ทำให้กองเรือพาณิชย์ของประเทศมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในโลก อุปถัมภ์การขุด
คลองสุเอซ จัดตั้งระบบกสิกรรมสมัยใหม่ซึ่งทำให้ทุพภิกขภัยในประเทศสิ้นสุดลงและทำให้เกิดการส่งสินค้าเกษตรออกจำหน่ายภายนอกประเทศ ตลอดจนเจรจา
สนธิสัญญา ค.ศ. 1860 เพื่อให้เกิดการค้าเสรีกับอังกฤษ ตามมาด้วยการทำความตกลงทำนองเดียวกันกับชาติยุโรปอื่น ๆ
[4] นโปเลียนยังให้ปฏิรูปสังคม เช่น ให้กรรมกรชาวฝรั่งเศสมีสิทธิหยุดงานประท้วงหรือชุมนุม เปิดโอกาสให้สตรีเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้นอย่างยิ่ง รวมถึงเพิ่มวิชาที่โรงเรียนรัฐทุกแห่งต้องเปิดสอน
[5]ด้านนโยบายต่างประเทศ นโปเลียนที่ 3 หมายใจจะให้ฝรั่งเศสมีอิทธิพลครอบงำยุโรปและสากลโลกอีกครั้ง เขาหนุนแนวคิด
ชาตินิยมและ
อำนาจอธิปไตยของปวงชน[6] เขาเข้าเป็นพันธมิตรกับบริเตนใน
สงครามไครเมียช่วง ค.ศ. 1853–56 ซึ่งรัสเซียพ่ายแพ้ ขณะเดียวกัน เขาส่งกองทัพไปช่วย
กลุ่มรัฐสันตะปาปามิให้ถูกอิตาลีผนวกดินแดน นโปเลียนที่ 3 ยังแผ่
อำนาจนอกประเทศไปยังเอเชีย แปซิฟิก และแอฟริกา ทั้งส่งทหารเข้า
แทรกแซงการเมืองเม็กซิโก หวังจะสถาปนา
จักรวรรดิเม็กซิโกที่สองขึ้นเป็นดินแดนในอารักขาฝรั่งเศส แต่ไม่ประสบผลพอเข้า ค.ศ. 1866 นโปเลียนที่ 3 ต้องประเชิญมหาอำนาจที่กำลังขยายตัวอย่าง
ปรัสเซีย เพราะ
อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค นายกรัฐมนตรีปรัสเซีย หมายจะหลอมรวมแผ่นดินเยอรมันเข้าเป็นหนึ่งภายใต้ร่มบารมีปรัสเซีย ครั้นเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1870 นโปเลียนจึงต้องเข้าสู่
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียโดยไม่มีใครร่วมหัวจมท้ายด้วย ทั้งมีกำลังรบด้อยกว่าปรัสเซีย ผลลัพธ์จึงเป็นความปราชัยของทหารฝรั่งเศส ตัวนโปเลียนถูกจับเป็นเชลยใน
ยุทธการเซอด็อง (Sedan) นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง และจัดตั้ง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สามขึ้นในกรุงปารีส ก่อนที่นโปเลียนที่ 3 จะลี้ภัยไป
อังกฤษ และอยู่ที่นั่นจนสิ้นชีวิตใน ค.ศ. 1873