จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล (
ภาษาโปรตุเกส: Dom Pedro II,
ภาษาอังกฤษ: Peter II;
2 ธันวาคม ค.ศ. 1825 -
5 ธันวาคม ค.ศ. 1891) มีพระสมัญญานามว่า "
ผู้มีจิตใจสูงส่ง" (the Magnanimous)
[1] ทรงเป็น
พระประมุขพระองค์ที่สองและพระองค์สุดท้ายแห่ง
จักรวรรดิบราซิล ทรงครองราชบัลลังก์มานานกว่า 58 ปี พระองค์ประสูติที่
รีโอเดจาเนโร เป็นพระบุตรพระองค์ที่เจ็ดใน
จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิลกับ
อาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดิน่าแห่งออสเตรีย และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์
ราชวงศ์บราแกนซาสายบราซิล พระราชบิดาของพระองค์สละราชบัลลังก์อย่างทันทีทันใดและเสด็จไปยังยุโรปในปีค.ศ. 1831 ทรงสละราชย์ให้กับพระราชโอรสขณะมีพระชนมายุ 5 พรรษาในฐานะจักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิลและนำไปสู่พระชนม์ชีพวัยเด็กและวัยรุ่นที่น่าหวาดกลัวและอ้างว้าง พระองค์จำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้เพื่อการปกครอง พระองค์ทรงรู้ว่ามันเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆของความสุขเพียงหนึ่งเดียวและทรงพบปะกับพระสหายรุ่นคราวเดียวกันเพียงจำนวนเล็กน้อย ประสบการณ์ของพระองค์กับเล่ห์เพทุบายในราชสำนักและความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเวลานี้ของพระองค์ได้รับส่งผลกระทบอย่างมากต่อพระอุปนิสัยในภายหลังของพระองค์ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงเจริญพระชันษากลายเป็นผู้ที่มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่อการปฏิบัติหน้าที่และทรงอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนและประเทศชาติของพระองค์ ในทางตรงกันข้าม พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยในบทบาทของพระองค์ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิมากขึ้นเรื่อยๆการสืบทอดจักรวรรดิอยู่บนปากเหวแห่งการล่มสลาย จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงหันมาใช้
ภาษาโปรตุเกสบราซิลเพื่อเข้าสู่อำนาจในเวทีระดับชาติ ประเทศได้เจริญเติบโตโดยแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกลุ่ม
ฮิสปานิกอเมริกาในเรื่องความมีเสถียรภาพทางการเมือง การคุ้มครองเสรีภาพในการพูดอย่างขันแข็ง การเคารพในสิทธิมนุษยชน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบรัฐบาล การทำงานแบบ
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ บราซิลยังคงได้ชัยชนะในความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสามกรณี (
สงครามพลาทีน,
สงครามอุรุกวัยและ
สงครามปารากวัย)ในรัชกาลของพระองค์ เช่นเดียวกับการชนะในข้อพิพาทในหลายประเทศอื่นๆ และความตึงเครียดภายในประเทศ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงผลักดันอย่างเหนียวแน่นในการผ่านการเลิกทาสแม้จะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ผู้มีสติปัญญามีสิทธิในตนเอง องค์จักรพรรดิทรงสร้างพระเกียรติในฐานะผู้ทรงอุปถัมภ์ที่เข้มแข็งในการเรียนรู้, วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงเคารพและชื่นชมนักวิชาการเช่น
ชาลส์ ดาร์วิน,
วิกตอร์ อูโก และ
ฟรีดริช นีทเชอ และพระองค์เป็นพระสหายกับ
ริชาร์ด วากเนอร์,
หลุยส์ ปาสเตอร์และ
เฮนรี วัดส์เวิร์ท ลองเฟลโลว์ และคนอื่นๆแม้ว่าจะทรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐบาลที่ไม่ใช่
ชาวบราซิลทั้งหมด องค์จักรพรรดิทรงถูกล้มราชบัลลังก์จากการรัฐประหารโดยฉับพลันที่เกือบจะไม่มีการสนับสนุนจากภายนอกของกลุ่มผู้นำทหารที่ต้องการการปกครองรูปแบบ
สาธารณรัฐที่นำโดย
ระบอบเผด็จการ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงเบื่อหน่ายในสถาบันจักรพรรดิและสิ้นหวังในแนวโน้มของระบอบราชาธิปไตยในอนาคต แม้ว่าจะทรงได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น พระองค์ทรงได้รับอนุญาตไม่ต้องถูกเนรเทศและไม่ทรงสนับสนุนความพยายามใดๆในการฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพช่วงสองปีสุดท้ายในยุโรปโดยการเนรเทศ ทรงประทับเพียงลำพังและมีพระราชทรัพย์เพียงน้อยนิดรัชสมัยของจักรพรรดิเปดรูที่ 2 มาถึงจุดสิ้นสุดอย่างผิดปกติ พระองค์ทรงถูกล้มราชบัลลังก์ในขณะที่ทรงได้รับการยกย่องจากประชาชนสูงและทรงได้รับความนิยมจนถึงจุดสูงสุด และบางส่วนของความสำเร็จของพระองค์ได้ถูกนำมาสู่ความล้มเหลวในไม่ช้าของบราซิลที่มุ่งเข้าไปในระยะเวลานานของรัฐบาลที่อ่อนแอ, ระบอบเผด็จการ, และวิกฤตรัฐธรรมนูญและเศรษฐกิจ กลุ่มคนผู้ซึ่งเนรเทศพระองค์ได้เริ่มประพฤติตามแบบอย่างของพระองค์ในการบริหารสาธารณรัฐของชาวบราซิล ไม่กี่ทศวรรษหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์ พระเกียรติยศของพระองค์ได้ถูกฟื้นฟูและพระบรมศพได้ถูกนำกลับไปยังบราซิลด้วยการเฉลิมฉลองทั่วประเทศ นักประวัติศาสตร์ได้ยกย่ององค์จักรพรรดิในแง่บวกอย่างมากและหลายแห่งได้มีการจัดอันดับให้พระองค์เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบราซิล