จักรวรรดิโปรตุเกส (
อังกฤษ: Portuguese Empire,
โปรตุเกส: Império Português) เป็นหนึ่งใน
จักรวรรดิอาณานิคมของโลกจักรวรรดิแรกที่มีดินแดนในหลายทวีปที่รวมทั้ง
อเมริกาใต้,
แอฟริกา,
อินเดีย และ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้การปกครอง และเป็นจักรวรรดิอาณานิคมที่รุ่งเรืองอยู่นานที่สุดในยุโรปที่รุ่งเรืองอยู่เป็นเวลาเกือบห้าร้อยปีตั้งแต่การพบ
บราซิลในปี
ค.ศ. 1500 จนกระทั่งถึงการคืน
มาเก๊าในปี
ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานกว่า
จักรวรรดิสเปน และ
จักรวรรดิฝรั่งเศสความต้องการที่จะขยายดินแดนไปทั่วโลกของโปรตุเกสเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อนักสำรวจเริ่มดินทางไป
สำรวจทางฝั่งทะเลของ
แอฟริกาในปี
ค.ศ. 1419 หลังจากที่ได้รับชัยชนะต่อเมือง
เซวตา (Ceuta) ทางตอนเหนือของแอฟริกาในปี
ค.ศ. 1415 โปรตุเกสใช้ความก้าวหน้าล่าสุดทาง
การเดินเรือ,
การเขียนแผนที่ และเทคโนโลยีทางทะเลเช่นการใช้
เรือคาราเวล (Caravel) ในการแสวงหาเส้นทาง
การค้าขายเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในยุคนั้น ในปี
ค.ศ. 1488 บาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เดินทางรอบ
แหลมกูดโฮปสำเร็จ และในปี
ค.ศ. 1498 วาสโก ดา กามาก็เดินทางรอบอินเดีย ขณะที่การสำรวจเหล่านี้เป็นการแสดงถึงอำนาจของโปรตุเกสในต่างประเทศแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสำรวจก็เพื่อเป็นการขยาย
เส้นทางการค้าที่เน้นการแสวงหาเส้นทางใหม่ไปยังตะวันออกไกล โดยไม่ต้องเดินทางผ่าน
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์โดยเฉพาะ
จักรวรรดิออตโตมันความเปลี่ยนแปลงในปี
ค.ศ. 1500 เกิดขึ้นเมื่อมีผู้พบฝั่งทะเล
อเมริกาใต้โดยบังเอิญ และเมื่อ
เปดรู อัลวาเรซ กาบรัลเป็นผู้เดินทางสำรวจไปพบและยึด
บราซิลเป็นอาณานิคม นโยบายที่เคยเป็นการสำรวจเพื่อการค้าจึงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการสำรวจเพื่อแสวงหาอาณานิคม ในช่วงเวลาหลายสิบปีต่อมานักเดินเรือชาวโปรตุเกสก็ดำเนินการสำรวจฝั่งทะเลและเกาะต่างๆ ในเอเชียตะวันออกต่อไป ก่อตั้งป้อม และ
สถานีการค้า (trading post) ขึ้นตามสถานที่ต่างๆ ที่พบ ภายในปี
ค.ศ. 1571 โปรตุเกสก็มีสถานีการค้าระไปตั้งแต่
ลิสบอนเองไปจนถึง
นางาซากิใน
ญี่ปุ่น การขยายดินแดนทำให้โปรตุเกสกลายเป็นจักรวรรดิโลกที่มีความมั่งคั่งอันมหาศาลระหว่างปี
ค.ศ. 1580 ถึงปี
ค.ศ. 1640 โปรตุเกสก็กลายเป็นพันธมิตรรองของสเปนของสองราชบัลลังก์ในการรวมตัวกันเป็น
สหภาพไอบีเรีย (Iberian Union) แม้ว่าสองราชอาณาจักรนี้จะมีการบริหารแยกกันแต่อาณานิคมของโปรตุเกสก็กลายเป็นเป้าในการโจมตีโดยศัตรูของสเปนในยุโรปผู้มีความไม่พึงพอใจต่อความสำเร็จในอำนาจทางทะเลในต่างประเทศของจักรวรรดิใน
คาบสมุทรไอบีเรียที่รวมทั้ง
จักรวรรดิดัตช์ (ผู้ในที่สุดก็เข้าสงคราม
สงครามอิสรภาพต่อต้านสเปน),
จักรวรรดิอังกฤษ และ
จักรวรรดิฝรั่งเศส แต่โปรตุเกสเป็นประเทศเล็กและมีประชากรเพียงจำนวนไม่มากนักซึ่งทำให้ไม่สามารถป้องกันอาณานิคมในการปกครองของตนเองในดินแดนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ ซึ่งในที่สุดก็เป็นผลทำให้อำนาจของโปรตุเกสเริ่มลดถอยลง นอกจากนั้นการสูญเสียบราซิลซึ่งเป็นอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดและสร้างผลกำไรให้มากที่สุดแก่โปรตุเกสในปี
ค.ศ. 1822 ในช่วง
การปลดปล่อยอาณานิคมในอเมริกา (Decolonization of the Americas) เป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่ทำให้โปรตุเกสไม่อาจฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากนั้น
การล่าอาณานิคมในแอฟริกาที่เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้โปรตุเกสพอจะได้ดินแดนมาบ้าง ดินแดนส่วนใหญ่ในแอฟริกาที่ได้มาตกอยู่ภายใต้การบริหารและอิทธิพลของโปรตุเกสเป็นเวลาหลายร้อยปี เมืองเช่น
ลูอันดา (Luanda) และ
เบงเกลา (Benguela) และที่ตั้งถิ่นฐานต่างๆ หลายแห่งได้รับการก่อตั้งขึ้นและปกครองโดยโปรตุเกสมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจาก
สงครามโลกครั้งที่สอง อังตอนียู ดือ ออลีไวรา ซาลาซาร์ (António de Oliveira Salazar) ผู้นำของโปรตุเกสก็ยังพยายามรักษาจักรวรรดิโปรตุเกสไว้โดยไม่ยอันอมเปลี่ยนแปลงในขณะที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปเริ่มถอนตัวจากอาณานิคมต่างๆ ในปี
ค.ศ. 1961 กองกำลังจำนวนเพียงเล็กน้อยของโปรตุเกสที่ประจำอยู่ที่
รัฐกัวก็ไม่สามารถต้านทานกองทหาร
อินเดียที่รุกเข้ามาในอาณานิคมได้ ซาลาซาร์จึงเริ่ม
สงครามอาณานิคมโปรตุเกสอันเป็นสงครามนองเลือดอันยาวนานเพื่อที่จะปราบปรามนักต่อต้านอาณานิคมในอาณานิคมแอฟริกา สงครามอันไม่เป็นที่นิยมมาสิ้นสุดลงเมื่อคณะรัฐบาลของซาลาซาร์ถูกโค่นอำนาจในปี
ค.ศ. 1974 ที่เรียกกันว่า
การปฏิวัติคาร์เนชัน (Carnation Revolution) หลังจากนั้นรัฐบาลโปรตุเกสก็เปลี่ยนนโยบายทันทีและอนุมัติอิสรภาพของประเทศต่างๆ ในอาณานิคมโปรตุเกสทั้งหมดยกเว้น
มาเก๊าที่มาคืนให้แก่
ประเทศจีนในปี
ค.ศ. 1999 ซึ่งเท่ากับเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโปรตุเกส