การเรืองอำนาจและเสียชีวิต ของ ฉีหฺวันกง

ด้วยความช่วยเหลือของกวนต๋ง ทำให้เจ๋ฮวนก๋งกลายเป็นผู้มีอำนาจทั้งในและนอกราชสำนัก รวมถึงมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ด้วย โดยในช่วง 664 ปีก่อนคริสต์ศักราช เจ๋ฮวนก๋งได้นำกองทัพไปช่วยเหลือเอียนจงก๋ง (ฉบับจีนเป็น เยี่ยนจวงกง) จากการโจมตีของชนเผ่าซานหยง (ฉบับไทยเป็น เมืองปักหยง)[2] และส่งทหารไปช่วยโอยบุนก๋ง (ฉบับจีนเป็น เว่ยเหวินกง) จากการรุกรานของชนเผ่าเป่ยตี้ (ฉบับไทยเป็น เมืองเต๊ก)

ต่อมา ได้ทำสงครามกับเมืองฌ้ออยู่ประมาณหนึ่ง ก็พากันเลิกทัพกลับ[3] ครั้นถึงปลายรัชสมัยของพระเจ้าจิวอุยอ๋อง เจ๋ฮวนก๋งได้ทำตามคำแนะนำของสิบผอง ด้วยการสนับสนุนองค์ไทจิวเต้เป็นรัชทายาท เมื่อไทจิวเต้ได้ครองราชย์ต่อจากพระบิดาแล้ว ก็ทำการนำของเซ่นไหว้ไปเคารพแด่จิวบุนอ๋องและจิวบูอ๋องตามธรรมเนียม พร้อมทั้งประทานรางวัลมากมายให้เจ๋ฮวนก๋ง

ในช่วงท้ายของชีวิต เจ๋ฮวนก๋งได้ปรึกษากับกวนต๋งเรื่องการแต่งตั้งทายาท กวนต๋งจึงเสนอชื่อก๋งจูเจียว ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สาม เจ๋ฮวนก๋งก็เห็นด้วย จึงให้ก๋งจูเจียวไปศึกษาเล่าเรียนกับซองเซียงก๋ง[4] ในช่วง 645 ปีก่อนคริสต์ศักราช กวนต๋งได้เสียชีวิต แต่ก่อนตาย กวนต๋งได้สั่งเสียต่อเจ๋ฮวนก๋งว่า "อันตัวเอ็ดแหย (易牙) ซูเตียว (豎刁) และ ไคหอง (開方) ทั้งสามคนนี้จะเป็นผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับแคว้นของเราในวันหน้า ขอท่านได้โปรดอย่าเรียกใช้พวกนั้นเลย จงขับไล่ให้ออกไปเสีย" ตอนกวนต๋งเสียชีวิต อายุประมาณได้ 75 ปี[5]

หลังการเสียชีวิตของกวนต๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ทำตามคำสั่งเสียได้พักหนึ่ง ก็ละเลยคำสั่งเสียนี้ทิ้ง เปาซกแหยพยายามว่ากล่าวตักเตือน แต่เจ๋ฮวนก๋งปฏิเสธ เปาซกแหยก็ตรอมใจจนป่วยตาย หลังการตายของเปาซกแหย สามขุนนางอย่าง เอ็ดแหย ซูเตียว ไคหอง ก็ทำการบริหารบ้านเมืองตามอำเภอใจ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เมื่อเจ๋ฮวนก๋งป่วยหนักใกล้ตายนั้น สามขุนนางได้สั่งให้ก่อฉาบปูนเป็นกำแพงปิดบังตำหนักของเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งซึ่งชราอยู่แล้ว ไม่ได้รับสารอาหารมากพอ ก็เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 72 ปี[6]

หลังการเสียชีวิตของเจ๋ฮวนก๋ง บรรดาลูกชายก็ทำสงครามเพื่อหวังครอบครองรัฐฉี สุดท้ายก๋งจูเจียวได้รับชัยชนะ และขึ้นปกครองรัฐฉีในนาม เจ๋เฮาก๋ง[7] ถึงกระนั้นเจ๋เฮาก๋งไม่อาจทำให้รัฐฉีกลับมารุ่งเรืองได้ดังเก่า เป็นผลจากสงครามกลางเมือง ทำให้จิ้นบุนก๋ง ขึ้นมามีอำนาจแทน

ใกล้เคียง