อิสลาม ของ ชะฮีด

 ชะฮีด เป็นคำศัพท์ภาษาอาหรับ อยู่ในรูปฟอร์มอธิพจ (ซีเฆาะฮ์มุบาละเฆาะฮ์) จากรากศัพท์ شَهَدَ และมาจากรากศัพท์ (มัสดาร) شهاده โดยมีความหมายว่า พยาน การแสดงตน และการรับรอง รูปฟอร์มซีเฆาะฮ์มุบาละเฆาะฮ์จะให้ความหมายว่า การกระทำที่ได้รับการรับรองของบุคคลนั้น

ฮะดีษบทหนึ่งจากท่านศาสดาอิสลาม (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงบรรดาชะฮีดว่า

“ชะฮีดมีด้วยกัน ๕ กลุ่มคือ กาฬโรค, โรคลำไส้เล็ก, จมน้ำ, ชาวออวอร และชะฮีดในหนทางของพระเจ้า”— หนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิม

ชะฮีดกลุ่มที่ ๕ ถือเป็นชะฮีดกลุ่มแรกในศาสนาอิสลาม โดยบุคคลแรกที่ได้รับสถานภาพชะฮีดคือ สุมัยยะฮ์ มารดาของอัมมารยาซีร หลังจากนั้นคือท่านฮัมซะ (ลุงศาสดาแห่งอิสลาม) และท่านฮุเซนบินอาลี (หลานท่านศาสดาแห่งอิสลาม) โดยได้รับสมญานามว่า “หัวหน้าบรรดาชะฮีด”

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวถึงสถานภาพของบรรดาชะฮีดในซูเราะฮ์อาลิอิมรอน โองการที่ ๑๖๙ ถึง โองการที่ ๑๗๕ ความว่า“และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์นั้นตาย หามิได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขาในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ (๑๖๙). ปลาบปลื้มต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา จากความกรุณาของพระองค์และปิติยินดีต่อบรรดาผู้ที่ยังมาไม่ทันพวกเขาซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขาว่าไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่เสียใจ (๑๗๐). พวกเขาปิติยินดีต่อสิ่งอำนวยความสุขจากอัลลอฮ์ และความกรุณา (จากพระองค์) ด้วยและแท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงให้สูญหายซึ่งรางวัลของผู้ศรัทธาทั้งหลาย (๑๗๑)." 

นิยามของ “ชะฮาดัต” ในศาสนาอิสลาม

นิยามของ “ชะฮาดัต” ในหลักการศาสนาอิสลาม คือ การถูกสังหารในหนทางของพระเจ้า ในศาสนาอิสลามเรียกบุคคลที่เสียสละชีวิตของตนเองในหนทางแห่งพระเจ้าว่า “ชะฮีด” ตามศาสนบัญญัติของอิสลาม ผู้ที่เป็นชะฮาดัตไม่จำเป็นต้องทำฆุซุล (อาบน้ำศพ) และทำกะฟัน (ห่อศพ) โดยในหลักฐานบางส่วนได้รับจากวัจนะของศาสดาอิสลามได้บันทึกว่า บุคคลที่ได้รับตำแหน่งชะฮีด เขาจะได้เข้าสรวงสวรรค์โดยไม่มีการสอบสวนและคิดบัญชีใด ๆ ทั้งนั้นสิ้น แม้กระทั่งการสอบสวนนั้นจะเป็นเรื่องราวของฮักกุลนาส (การลิดรอนสิทธิเพื่อนมนุษย) ก็ตาม 

ในตัฟซีรของนาศิร มะการิม ชีรอซีย์ ได้กล่าวว่า ในวันกิยามะฮ์ ชะฮีดจะร่วมอยู่กับศาสดาแห่งอิสลามเพื่อให้การรับรองการกระทำของบรรดาประชาชาติ นิกายชีอะฮ์มีความเชื่อว่า ชะฮีด คือบุคคลที่ได้เสียชีวิตในสงครามก่อนที่สงครามจะจบลง โดยได้ร่วมสงครามกับท่านศาสดาแห่งอิสลาม หรือบรรดาอิมามมะอ์ซูม และหรือตัวแทนของอิมามมะอ์ซูมที่เฉพาะ และเช่นกันหากบุคคลใดถูกสังหารในช่วงการฆอยบะฮ์ (เร้นกาย) ของอิมามมะฮ์ดีย์ ในช่วงขณะทำสงครามเพื่อการปกป้องและรักษาศาสนาอิสลาม (ไม่ใช่สงครามอื่น ๆ) เขาก็มีสถานภาพ “ชะฮีด” เช่นกัน. และนอกเหนือจากสงครามดังกล่าวเขาไม่ใช่ “ชะฮีด” ถึงแม้ว่าจะได้รับมรรคผลเทียบเท่ากับชะฮีดก็ตาม สำหรับบุคคลที่เป็น “ชะฮีด” (เสียชีวิต) ในสงคราม นั้นไม่จำเป็นต้องทำฆุซุล (อาบน้ำศพ) กะฟัน (ห่อศพ) และฮุนนูต (การแต่งศพโดยพิมเสน) แต่ให้ทำการนมาซมัยยิตและฝังศพนั้นด้วยเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ นี้คือศาสนบัญญัติสำหรับบุคคลที่เป็นชะฮีด (เสียชีวิต) ในสงครามรบเพียงเท่านั้น แต่สำหรับบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม และได้ออกจากสงครามมาแล้ว และได้เสียชีวิตลงในภายหลัง บุคคลดังกล่าวก็ได้รับมรรคผลแห่งชะฮีดเช่นกัน แต่ทว่าศาสนบัญญัติข้างต้น (ฆุซุล กะฟัน ฮุนนูต) นั้น ไม่ครอบคลุมสำหรับเขา

ฟัคร์ รอซีย์ และญารุลลอฮ์ ซะมัคชะรีย์ ได้รายงานวัจนะบทหนึ่งไว้ในตัฟซีรกะบีร และตัฟซีรกัชช็อฟ ว่า

“พึงรู้ไว้เถิดว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้มอบความรักแก่วงศ์วานของมุฮัมหมัด และได้ตายจากโลกนี้ไป เท่ากับตายในสภาพ ชะฮีด”

[2][3]