ชื่อบุคคลไทย

ชื่อบุคคลไทย ประกอบด้วย ชื่อตัว ตามด้วยชื่อสกุล (หรือนามสกุล) และจะมีชื่อรองอยู่ถัดจากชื่อตัวก็ได้ ตามที่พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 บังคับว่า ผู้มีสัญชาติไทยต้องมีชื่อตัว คือ ชื่อประจำตัวของแต่ละคน และต้องมีชื่อสกุล คือ ชื่อประจำวงศ์ตระกูล และจะมีชื่อรอง คือ ชื่อที่ใช้ประกอบ อยู่ถัดจากชื่อตัว ด้วยก็ได้[1] เช่น ชื่อ "พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร" ประกอบด้วย ชื่อตัว คือ "พันธุ์ทิพย์", ชื่อรอง คือ "กาญจนะจิตรา", และชื่อสกุล คือ "สายสุนทร"พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดว่า ชื่อตัว ชื่อรอง และชื่อสกุล ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ พระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม และต้องไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย[2] แต่อนุญาตให้บุคคลเอาราชทินนามของตนเอง ของบุพการี หรือของผู้สืบสันดาน มาใช้เป็นชื่อสกุลได้[3] นอกจากนี้ ชื่อสกุลต้องมีพยัญชนะไม่เกิน 10 ตัว เว้นแต่เอาราชทินนามที่มีพยัญชนะเกิน 10 ตัวมาใช้เป็นชื่อสกุล ทั้งยังต้องไม่ซ้ำกับชื่อสกุลที่จดทะเบียนไว้แล้ว หรือชื่อสกุลที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน[4] อนึ่ง ชื่อรองก็ต้องไม่พ้องกับชื่อสกุลคนอื่น เว้นแต่เอาชื่อสกุลของคู่สมรสมาใช้เป็นชื่อรองโดยได้รับความยินยอมจากคู่สมรสนั้น หรือเป็นกรณีที่บุตรเอาชื่อสกุลเดิมของบิดาหรือมารดามาใช้เป็นชื่อรอง[5] พระราชบัญญัตินี้ยังอนุญาตให้บุคคลเอาราชทินนามตามบรรดาศักดิ์ของตนเองมาใช้เป็นชื่อตัวหรือชื่อรองของตนได้ เว้นแต่บุคคลนั้นถูกถอดบรรดาศักดิ์[6]เดิมที ชาวไทยมีแต่ชื่อตัว ไม่มีชื่อสกุล มาเริ่มใช้ชื่อสกุลเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติขนามนามสกุล พระพุทธศักราช 2456 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรฏาคม พ.ศ. 2456[7] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังพระราชทานชื่อสกุลให้แก่หลายครอบครัว เรียกว่า "นามสกุลพระราชทาน" โดย "สุขุม" เป็นชื่อสกุลแรกที่พระราชทาน[8] และชื่อสกุลที่พระราชทานมีทั้งหมด 6,432 ชื่อ[9]พระราชบัญญัติขนามนามสกุล พระพุทธศักราช 2456 กำหนดว่า หญิงที่ทำงานและมีสามีแล้ว ให้ใช้ชื่อสกุลของสามี แต่จะใช้ชื่อสกุลเดิมของตนต่อไปก็ได้[10] ต่อมาเมื่อตราพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ขึ้นใช้แทน พระราชบัญญัตินี้กำหนดว่า หญิงมีสามี ให้ใช้ชื่อสกุลของสามี ถ้าหย่า ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตน ถ้าสามีตาย ให้ใช้ชื่อสกุลของสามีต่อไป[11] ต่อมาใน พ.ศ. 2530 มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ว่า หญิงที่สามีตาย จะใช้ชื่อสกุลของสามีต่อไป หรือจะกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมก็ได้[12] ครั้น พ.ศ. 2548 มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้อีกครั้ง โดยเปลี่ยนไปกำหนดว่า คู่สมรสจะใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายเป็นชื่อสกุลของตนเองตามที่ตกลงกันก็ได้ หรือจะใช้ชื่อสกุลเดิมของตนเองต่อไปก็ได้ และถ้าการสมรสสิ้นสุดลงเพราะหย่าหรือเพราะศาลเพิกถอน ฝ่ายใดเอาชื่อสกุลของอีกฝ่ายมาใช้เป็นชื่อสกุล ก็ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม ทั้งยังให้ยกเลิกข้อกำหนดทั้งหมดเกี่ยวกับนามสกุลของหญิงที่สามีตาย[13] การแก้ไขเพิ่มเติมใน พ.ศ. 2548 ดังกล่าว เป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2546 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ที่ระบุว่า ข้อกำหนดให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลสามีเป็นชื่อสกุลตนเองอย่างเดียวนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 ที่รับรองว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศหรือสถานะของบุคคลจะกระทำมิได้[14]ชื่อตัวในอดีตมักมีพยางค์เดียว เพราะภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด ตัวอย่างชื่อตัวในสมัยก่อน เช่น จิต, ใส ฯลฯ จำนวนพยางค์มาเพิ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี เช่น ทองม้วน, ทองดี ฯลฯ ปัจจุบันนิยมนำคำต่างประเทศมาประสมเป็นชื่อหลายพยางค์ แม้กระทั่งเป็นชื่อที่สะกดหรืออ่านยาก เช่น พิชญ์พิสิฐฏ์เสฏ, กุญจ์สิริลัญฉกร ฯลฯ[15]นอกจากชื่อตัว ชื่อรอง และชื่อสกุล ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว ชาวไทยยังมักมีชื่อเล่นเป็นชื่อเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการ ชื่อเล่นมักมีพยางค์น้อยกว่าชื่อตัว บางทีก็ตั้งจากบางพยางค์ของชื่อตัว บางทีก็แปลจากชื่อตัว บางทีก็ตั้งตามค่านิยมของครอบครัว[15]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ชื่อบุคคลไทย http://human.bsru.ac.th/search/sites/default/files... http://www.library.coj.go.th/Book/3326?c=547655470 http://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=3031... http://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=3031... http://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=3249... http://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=4477... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2455/A/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2456/D/... http://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/downl...